แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในขณะทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและสัญญาจ้างพัฒนาที่ดินและก่อสร้างบ้าน โจทก์และจำเลยทั้งสี่ต่างทราบดีอยู่แล้วว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตที่จะถูกเวนคืนเพื่อทำถนนเพียงแต่ยังไม่มีการสำรวจแนวเขตถนนที่แน่นอน เมื่อภายหลังมีการประกาศพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงผ่านที่ดินพิพาท จำเลยทั้งสี่จึงไม่สามารถส่งมอบที่ดินพร้อมบ้านแก่โจทก์เพื่อได้ใช้ประโยชน์ตามสัญญา การชำระหนี้ย่อมตกเป็นพ้นวิสัยเพราะเหตุอย่างหนึ่งอย่างใดอันจะโทษฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมิได้ จำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมกันย่อมไม่มีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ตอบแทนตาม ป.พ.พ. มาตา 372 วรรคแรก โจทก์มีสิทธิเรียกเงินที่ชำระคืนจากจำเลยทั้งสี่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้เงิน 1,656,035 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสี่ให้การขอให้ยกฟ้อง และฟ้องแย้งบังคับให้โจทก์ชำระเงิน 87,500 บาท แก่จำเลยที่ 2 และชำระเงิน 1,191,250 บาท แก่จำเลยที่ 3 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จโจทก์ทั้งสี่ให้การขอให้ยกฟ้องแย้ง และฟ้องแย้ง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 และที่ 3
ระหว่างพิจารณา โจทก์ถึงแก่ความตาย นางเฉลิมศรียื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 1,082,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2543) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความเป็นเงิน 8,000 บาท ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 และยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องแย้งให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 551,250 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2543) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้โจทก์ชำระเงินแก่จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 จำนวน 87,500 บาท และ 1,510,000 บาท ตามลำดับ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้ง (วันที่ 16 มีนาคม 2543) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์และจำเลยทั้งสี่ทั้งสองศาลให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติโดยคู่ความไม่ฎีกาโต้แย้งว่า จำเลยทั้งสี่ร่วมกันจัดสรรที่ดินโครงการสันทรายปาร์ควิลล์ออกขายแก่ประชาชนทั่วไป เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2537 โจทก์จองซื้อที่ดินพิพาทแปลงเลขที่ 32 บี และเลือกแบบบ้านกาสะลองโดยชำระค่าจองที่ดิน 20,000 บาท ตามใบจองและใบรับเงิน ต่อมาวันที่ 10 มกราคม 2538 โจทก์ตกลงทำสัญญาซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 โฉนดเลขที่ 34330 ตำบลสันทรายน้อย อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ เนื้อที่ 168 ตารางวา ในราคา 2,520,000 บาท ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน และในวันเดียวกันโจทก์ทำสัญญาว่าจ้างจำเลยที่ 2 ให้พัฒนาที่ดินและก่อสร้างบ้านบนที่ดินพิพาทเป็นเงิน 300,000 บาท ตามสัญญาจ้างพัฒนาที่ดินและก่อสร้าง และทำสัญญาจ้างจำเลยที่ 3 จัดซื้อดินมาถมในที่พิพาทเป็นเงิน 1,510,000 บาท ทั้งจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญารับซื้อที่ดินและบ้านคืนหากที่ดินพิพาทถูกเวนคืนตามหนังสือสัญญา หลังจากทำสัญญาแล้วจำเลยที่ 3 ได้ดำเนินการซื้อดินมาถมในที่ดินพิพาทและจำเลยที่ 2 ได้ก่อสร้างบ้านตามที่ว่าจ้างและโจทก์ได้ชำระค่าที่ดินบางส่วนแก่จำเลยที่ 1 ด้วยเช็ค 5 ฉบับ สั่งจ่ายฉบับละ 106,250 บาท รวมเป็นเงิน 531,250 บาท ชำระค่าพัฒนาที่ดินและก่อสร้างบางส่วนแก่จำเลยที่ 2 ด้วยเช็ค 2 ฉบับ สั่งจ่ายฉบับละ 106,250 บาท รวมเป็นเงิน 212,500 บาท และชำระค่าซื้อดินและถมที่ดินพิพาทแก่จำเลยที่ 3 บางส่วนด้วยเช็ค 3 ฉบับ สั่งจ่ายฉบับละ 106,250 บาท รวมเป็นเงิน 318,750 บาท รวมเงินที่โจทก์ชำระแก่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 เป็นเงินทั้งสิ้น 1,082,500 บาท ต่อมาประมาณเดือนมกราคม 2539 จำเลยที่ 1 แจ้งว่าต้องหยุดการก่อสร้างเพราะที่ดินพิพาทถูกทางราชการเวนคืนเพื่อการก่อสร้างถนน มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสี่ต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ขณะทำสัญญา โจทก์และจำเลยทั้งสี่ต่างทราบดีอยู่แล้วว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตที่จะถูกเวนคืนเพื่อทำถนนเพียงแต่ยังไม่ได้มีการสำรวจแนวเขตถนนที่แน่นอน เมื่อภายหลังมีการประกาศพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงผ่านที่ดินพิพาทและปรากฏว่าจำเลยที่ 4 จะได้รับเงินค่าชดเชยที่ดินพิพาทที่ถูกเวนคืนจากทางราชการแล้วตามบัญชีกำหนดราคาเบื้องต้น หนังสือแจ้งชะลอการจ่ายเงินค่าทดแทนและบันทึกข้อความ จำเลยทั้งสี่จึงไม่สามารถส่งมอบที่ดินพร้อมบ้านแก่โจทก์ได้ใช้ประโยชน์ตามสัญญา การชำระหนี้ย่อมตกเป็นพ้นวิสัยเพราะเหตุอย่างหนึ่งอย่างใดอันจะโทษฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมิได้ จำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมกันย่อมไม่มีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ตอบแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 372 วรรคแรก ตามที่ฟ้องแย้งมา โจทก์จึงมีสิทธิเรียกเงินที่ชำระไปแล้วทั้งหมด 1,082,500 บาท คืนพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จจากจำเลยทั้งสี่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาให้จำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์เพียงบางส่วนนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันคืนเงิน 1,082,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2543) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความเป็นเงินรวม 15,000 บาท