คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2456/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 95 มิได้บัญญัติห้ามโดยเด็ดขาดมิให้รับฟังพยานบอกเล่าเสียเลยทีเดียว เมื่อพยานบอกเล่านั้นกล่าวถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นอย่างมีเหตุผล ศาลย่อมใช้ดุลพินิจรับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นได้
เอกสารที่พนักงานสอบสวนทำขึ้นตามหน้าที่ที่ปฏิบัติราชการ เป็นเอกสารราชการ เมื่อฝ่ายจำเลยมิได้โต้แย้งในวันสืบพยานโจทก์ถึงความมีอยู่และแท้จริงแห่งเอกสารเหล่านั้นเป็นอย่างอื่นแล้ว ศาลย่อมมีอำนาจหยิบยกข้อเท็จจริงในเนื้อหาของเอกสารนั้นขึ้นและใช้ดุลพินิจรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๒๒ จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ ได้ขับขี่รถยนต์ของจำเลยที่ ๒ ในทางการที่จ้าง เมื่อขับกลับมาถึงที่เกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน จำเลยที่ ๑ ขับรถด้วยความเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนดและขับโดยปราศจากความระมัดระวังชนนายสมนึกบุตรโจทก์ทั้งสองขณะเดินอยู่ริมถนนพหลโยธินนอกผิวจราจรจนถึงแก่ความตาย ทำให้โจทก์เสียหาย ขาดไร้อุปการะและเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการทำศพผู้ตาย ขอให้พิพากษาบังคับจำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยให้โจทก์ทั้งสอง
ระหว่างไต่สวนคำร้องอนาถา โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ ๑ ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การ ในวันสืบพยานจำเลยที่ ๒ ซึ่งให้การเป็นพยานตนเอง จำเลยที่ ๒ ไม่มาศาลและขอเลื่อนคดี ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตและถือว่าจำเลยที่ ๒ ไม่สืบพยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๒ ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ทั้งสอง ๘๐,๐๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า พยานบุคคลซึ่งโจทก์นำมาสืบเป็นพยานบอกเล่า รับฟังไม่ได้ เพราะขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๘๖ และมาตรา ๙๕ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๕ มิได้บัญญัติห้ามโดยเด็ดขาดมิให้รับฟังพยานบอกเล่าเสียเลยทีเดียว เมื่อพยานบอกเล่านั้นกล่าวถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นอย่างมีเหตุผล ศาลย่อมใช้ดุลพินิจรับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นได้
จำเลยที่ ๒ ฎีกาอีกว่าเอกสารที่โจทก์อ้างเป็นพยาน หมาย จ.๑, จ.๒, จ.๕, จ.๗ และ จ.๘ มิได้นำผู้ทำเอกสารมาสืบเพื่อทราบถึงที่มาและความต่อเนื่องแล้วทำให้คู่ความฝ่ายตรงข้ามเสียเปรียบ เพราะไม่อาจซักค้านถึงความมีอยู่หรือความเป็นอยู่แห่งเอกสารนั้นได้ การรับฟังเอกสารดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเอกสารหมาย จ.๑ เป็นคำให้การชั้นสอบสวนของร้อยตำรวจโทจุรินทร์ในฐานะพนักงานสอบสวนไปสอบสวนในที่เกิดเหตุ จัดทำแผนที่เกิดเหตุและบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.๒ เป็นคำให้การของนายบุญน้อยชั้นสอบสวนที่รู้เห็นเหตุการณ์คดีนี้ เอกสารหมาย จ.๕ เป็นแผนที่สังเขปที่เกิดเหตุซึ่งร้อยตำรวจโทจุรินทร์ได้จัดทำขึ้น เอกสารหมาย จ.๗ เป็นรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีและเอกสารหมาย จ.๘ เป็นหมายจับนายบุญช่วงผู้ต้องหาที่ขับรถชนนายสมนึกถึงแก่ความตายแล้วหลบหนีไป เอกสารเหล่านี้พนักงานสอบสวนได้จัดทำตามหน้าที่ที่ปฏิบัติราชการ จึงเป็นเอกสารราชการ เมื่อจำเลยที่ ๒ มิได้โต้แย้งในวันสืบพยานโจทก์ถึงความมีอยู่และความแท้จริงแห่งเอกสารเหล่านี้เป็นอย่างอื่นแล้ว ศาลย่อมมีอำนาจหยิบยกข้อเท็จจริงในเนื้อหาของเอกสารเหล่านั้นขึ้นและใช้ดุลพินิจรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้
พิพากษายืน

Share