แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สามีโจทก์เช่าห้องจำเลยที่ 1 อยู่อาศัย จำเลยที่ 1 บอกเลิกสัญญากับสามีโจทก์เมื่อครบกำหนดตามสัญญาเช่าแล้ว แต่โจทก์ยังอยู่ในห้องเช่าจำเลยที่ 1-2 จึงให้จำเลยที่ 3 ถึง 7 เข้าไปในห้องเช่ารื้อส่วนต่างๆ ของห้องเช่าเสียเช่นนี้ ยังไม่เป็นผิดฐานบุกรุกตาม กฎหมายลักษณะอาญามาตรา 327 เพราะห้องเช่านั้นเป็นของจำเลยที่ 1
พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขันไม่มีบัญญัติให้การกระทำเช่นนี้เป็นผิด จึงจะใช้ตีความให้การกระทำที่เดิมไม่ผิด ให้เป็นความผิดอาญาขึ้นไม่ได้
ย่อยาว
คดีได้ความว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของห้องซึ่งสามีโจทก์เช่าจากจำเลยที่ 1 อยู่อาศัย สัญญาเช่าจะสิ้นอายุในวันที่ 31 ธันวาคม 2490 จำเลยที่ 1-2 ได้บอกเลิกสัญญาเช่าแก่สามีโจทก์แล้วครั้นวันที่ 2 และ 4 มกราคม 2491 จำเลยที่ 1-2 ได้ให้จำเลยที่ 3 ถึง 7 เข้าไปรื้อประตูบ้าน 3 บาน ประตูรั้วข้างบ้าน 2 บาน ขนโอ่งน้ำของจำเลยที่ 2 ไปด้วย 1 โอ่งและให้รื้อหน้าบ้านรื้อบันไดชั้นบนรื้อเตาไฟประตูครัวกับขนของ ๆ โจทก์ ซึ่งอยู่ชั้นบนลงมาชั้นล่าง
โจทก์จึงฟ้องขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 293, 294,324, 325 กับขอให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายแก่โจทก์ฐานละเมิด 5,000 บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 ถึง 7 ผิดตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 327, 328, 329 กับให้จำเลยทั้งหมดนอกจากนางล้งจำเลยที่ 1 ซ่อมแซมประตูและเรือนให้เป็นไปตามสภาพเดิม กับให้ใช้ค่าเสียหายที่โจทก์ต้องจ้างคนเฝ้าบ้าน 225 บาท ข้อหานอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และนายทิ้งจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องในทางอาญา และว่าเป็นเหตุลักษณะคดีเป็นผลแก่จำเลยทุกคน ส่วนในทางแพ่งก็วินิจฉัยยกฟ้องเฉพาะตัวนายทิ้งที่อุทธรณ์มา
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าความผิดฐานบุกรุกตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 327นั้น บ้านเรือนที่จำเลยบุกรุกจะต้องไม่ใช่ของจำเลย จึงจะมีผิดแต่เรื่องนี้จำเลยเข้าไปในเรือนของจำเลยที่ 1 โดยอาศัยอำนาจและความร่วมใจของจำเลยที่ 1 จำเลยหามีความผิดฐานบุกรุกอันจะมีโทษทางอาญาตามที่บัญญัติไว้ไม่ พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขันไม่ได้บัญญัติให้การกระทำเช่นนี้เป็นความผิด จึงจะใช้ตีความให้การกระทำซึ่งแต่เดิมไม่ผิด กลายเป็นผิดทางอาญาไม่ได้สำหรับความรับผิดทางแพ่งก็ปรากฏว่านายทิ้งจำเลยได้กระทำการไปโดยอาศัยอำนาจของจำเลยที่ 1 ให้เช่าเนื่องจากการบอกเลิกสัญญาเช่าระหว่างจำเลยที่ 1 กับสามีโจทก์ไม่ปรากฏว่านายทิ้งได้กระทำละเมิดต่อโจทก์อย่างไร จึงพิพากษายืน