แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้ตามสัญญา จำเลยให้การรับว่าได้กู้เงินโจทก์เป็นจำนวนตามสัญญากู้ที่ฟ้องนั้น จริงแต่ต่อสู้ว่า จำเลยได้รับเงินไม่เต็มจำนวนเงินในเอกสารนั้นและจำเลยได้ชำระเงินกู้แก่โจทก์เสร็จสิ้นแล้วโดยเช็คแต่โจทก์ไม่คืนเอกสารสัญญากู้ให้ โดยอ้างว่าทำลายหมดแล้วดังนี้ วินิจฉัยว่า จำเลยจะนำสืบแก้ไขเอกสารว่า ไม่ได้รับเงินเต็มตามจำนวนเงินในเอกสารไม่ได้และจะนำสืบการใช้เงินนอกเหนือไปจากที่ กฎหมายบัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสองไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้ตามสัญญาจากจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้กู้จำเลยที่ 2-3-4-5 ในฐานะผู้ค้ำประกัน
จำเลยที่ 1 ให้การว่า ได้ทำสัญญากู้เงินโจทก์ 54,500 บาทจริงแต่โจทก์จ่ายเงินให้เพียง 45,445.50 บาทเท่านั้น โดยหักไว้เป็นค่าอากรแสตมป์เสีย 54.50 บาท หักดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3 ต่อเดือนในระยะ 3 เดือนเป็นเงิน 4,500 บาท และบวกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3 ไว้อีก 3 เดือน เงิน 4,500 บาท ซึ่งเป็นการผิดกฎหมาย และต่อมาจำเลยได้ชำระเงินให้โจทก์โดยเช็ค 4 ฉบับ ขอสัญญากู้คืนโจทก์ไม่คืนอ้างว่าได้ทำลายหมดแล้ว
จำเลยที่ 2-3-4-5 ต่อสู้ว่า จำเลยที่ 1 ชำระเงินเสร็จแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินตามฟ้อง
จำเลยที่ 1 ผู้เดียวอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา ตามคำฟ้องฎีกาหน้าต้นกล่าวถึงชื่อจำเลยทั้ง 5 ขอยื่นฎีกา แต่มีจำเลยที่ 1 ลงนามในท้ายฎีกาแต่ผู้เดียวศาลฎีกาถือว่าจำเลยที่ 1 ฎีกาแต่ผู้เดียว
ข้อเท็จจริงนั้นคงฟังตามศาลล่าง ส่วนข้อกฎหมายก็เห็นว่าจำเลยจะนำสืบแก้ไขเอกสารว่าไม่ได้รับเงินเต็มตามจำนวนเงินในเอกสารไม่ได้ และจะนำสืบการใช้เงินนอกเหนือไปจากที่กฎหมายบัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสองไม่ได้ให้ยกฎีกาจำเลยที่ 1 เสีย ฯลฯ