แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีที่เกิดขึ้นนอกเขตจังหวัดพระนครและธนบุรีนั้น เมื่อศาลแพ่งได้ประทับรับฟ้องคดี รวมทั้งรับคำให้การจำเลยตลอดจนสืบพยานทั้งสองฝ่ายจนสิ้นกระบวนความ ถือว่าศาลแพ่งใช้ดุลพินิจยอมรับพิจารณาพิพากษาคดีนั้นแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาบังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินค่าเสียหายกับดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ไม่เคยมีภูมิลำเนาในกรุงเทพมหานครดังฟ้อง
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นหลายข้อ เฉพาะประเด็นที่ขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกามีว่า จำเลยที่ ๑ มีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดธนบุรีตามฟ้องหรือไม่ โจทก์ชอบที่จะเสนอคำฟ้องทั้งสองต่อศาลแพ่งหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วได้วินิจฉัยเฉพาะประเด็นข้อ ๑ และพิพากษาว่า ฟ้องโจทก์ระบุว่าจำเลยที่ ๑ อยู่บ้านเลขที่ ๑๔๘ หมู่ ๑๒ ถนนสุขสวัสดิ์ ตำบลบางประกอก อำเภอราษฎร์บูรณะ จังหวัดธนบุรี แต่จำเลยที่ ๑ มีบัตรประจำตัวประชาขน มีสำเนาทะเบียนบ้านมาแสดงว่าจำเลยอยู่ตำบลบางโตนด อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี จำเลยที่ ๒ ก็มีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดราชบุรี คดีเช่นนี้โจทก์จำต้องยื่นคำฟ้องต่อศาลจังหวัดราชบุรี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๔(๒) เมื่อโจทก์ระบุภูมิลำเนาของจำเลยที่ ๑ ไม่ตรงกับความจริง เท่ากับฟ้องของโจทก์ไม่ถูกต้องตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา ๑๔(๓) พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีมีประเด็นที่จะวินิจฉัยเพียงว่าจำเลยที่ ๑ มีภูมิลำเนาตามฟ้องหรือไม่ โจทก์ชอบที่จะฟ้องคดีต่อศาลแพ่งหรือไม่
ตามคำฟ้องของโจทก์ระบุว่า จำเลยที่ ๑ มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ ๑๔๘ หมู่ ๑๒ ถนนสุขสวัสดิ์ อำเภอราษฎร์บูรณะ จังหวัดธนบุรี แต่เมื่อพนักงานเดินหมายของศาลแพ่งนำหมายนัดและสำเนาคำฟ้งไปส่งให้จำเลยที่ ๑ ณ ภูมิลำเนาดังกล่าว ปรากฏว่าส่งไม่ได้เพราะจำเลยที่ ๑ ไม่เคยอยู่บ้านเลขที่นั้นเลย ปรากฏตามรายงานการเดินหมายลงวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๑๖ ศาลชั้นต้นสั่งรายงานฉบับนั้นว่า รอฟังโจทก์แต่ก็ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ทราบคำสั่งนั้น ครั้นวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ จำเลยที่ ๑ แต่งตั้งทนายความและยื่นคำให้การเฉพาะภูมิลำเนา ความว่า จำเลยที่ ๑ มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ ๑๑/๑ หมู่ ๓ ตำบลบางโตนด อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ศาลชั้นต้นสั่งรับคำให้การของจำเลยที่ ๑ ต่อมาเมื่อจำเลยที่ ๒ ยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นได้สั่งรับคำให้การจำเลยที่ ๒ และทำการชี้สองสถาน กำหนดประเด็นที่จะพิจารณา รวมทั้งได้สืบพยานของโจทก์จำเลยจนเสร็จสิ้นกระบวนความแจ้งจึงได้พิพากษาคดี ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้ศาลชั้นต้นได้ประทับรับฟ้องคดีไว้แล้วรวมทั้งรับคำให้การจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ตลอดจนสืบพยานทั้งสองฝ่ายจนสิ้นกระบวนความ ย่อมแสดงให้เห็นว่าศาลแพ่งใช้ดุลพินิจยอมรับพิจารณาพิพากษาคดีนี้แล้ว
พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีนี้ใหม่ตามรูปความ
(พยนต์ ยาวะประภาษ แผ้ว ศิวะบวร จันทร์ ระรวยทรง)