คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2424/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

บทบัญญัติมาตรา 15 วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯ มีความหมายว่าถ้าผู้ครอบครองยาเสพติดให้โทษมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ตั้งแต่ 20 กรัมขึ้นไป กฎหมายให้สันนิษฐานโดยเด็ดขาดว่าเป็นการครอบครองไว้เพื่อจำหน่าย แม้จำเลยจะมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 7 เม็ด และไม่ปรากฏว่าคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้เพียงใด แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายก็เป็นความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 15 วรรคหนึ่ง,66 วรรคหนึ่งไม่จำเป็นต้องเข้าข้อสันนิษฐานตามมาตรา 15 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 และริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุกคนละ 6 ปีฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุกคนละ5 ปี รวมจำคุกคนละ 11 ปี คำให้การในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้จำเลยที่ 1 หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 7 ปี 4 เดือนริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ลงโทษจำเลยที่ 1ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุก 5 ปี เมื่อรวมกับโทษฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นจำคุก 10 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 6 ปี 8 เดือนจำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 67 จำคุก 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง บัญญัติว่า”การผลิต นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ตั้งแต่ยี่สิบกรัมขึ้นไปให้ถือว่าผลิต นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย”โจทก์มิได้นำสืบว่ายาเสพติดให้โทษของกลางมีน้ำหนักคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เกินกว่า 20 กรัม จะถือว่าจำเลยที่ 1 มียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามฟ้องหาได้ไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า บทบัญญัติดังกล่าวมีความหมายว่าถ้าผู้ครอบครองยาเสพติดให้โทษมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ตั้งแต่ 20 กรัมขึ้นไป กฎหมายให้สันนิษฐานโดยเด็ดขาดว่าเป็นการครอบครองไว้เพื่อจำหน่าย ผู้ครอบครองจะนำสืบหักล้างว่าตนไม่ได้มีไว้เพื่อจำหน่ายไม่ได้ ส่วนข้อเท็จจริงในคดีนี้แม้จำเลยที่ 1 จะมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 7 เม็ด และไม่ปรากฏว่าคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ตั้งแต่ 20 กรัมขึ้นไปก็ตามต้องพิจารณาดูเจตนาว่าจำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนจำนวนดังกล่าวไว้เพื่อความประสงค์ใด ซึ่งข้อเท็จจริงได้ความว่าก่อนที่จำเลยที่ 1 จะถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุม จำเลยที่ 1ได้จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจำนวน 2 เม็ด ให้แก่สายลับไปแล้วส่วนเมทแอมเฟตามีนอีกจำนวน 7 เม็ด ที่เหลือนั้น เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ติดยาเสพติดให้โทษเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวจำเลยที่ 1 จึงมิได้มีไว้เพื่อเสพ และเมื่อเป็นส่วนหนึ่งที่เหลือจากการจำหน่ายให้แก่สายลับแสดงว่าจำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามความเป็นจริง อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่งไม่จำเป็นต้องเข้าข้อสันนิษฐานของกฎหมายตามมาตรา 15วรรคสอง เสียก่อนจึงจะถือว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายดังที่จำเลยที่ 1 ฎีกา ฎีกาของจำเลยที่ 1 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”

พิพากษายืน และให้คืนเงินล่อซื้อ 300 บาท แก่เจ้าของ

Share