คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2424/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยโดยบรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลและเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่น มีอำนาจหน้าที่ในการดูแลรักษาที่ดินสาธารณะ โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาท ซึ่งปัจจุบันใช้เป็นที่ตั้งของโรงเรียน ป. อันเป็นสถานศึกษาในสังกัดของโจทก์ จำเลยต่อสู้ว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยแล้วโดยการครอบครองเกินกว่า 10 ปี ฉะนั้น การที่โจทก์นำสืบว่า เดิมที่ดินพิพาทเป็นของใครและโจทก์ได้ที่ดินพิพาทมาโดยเจ้าของเดิมยกให้เพื่อใช้ใน กิจการของโจทก์นั้น เป็นการนำสืบถึงมูลเหตุซึ่งได้ที่ดินพิพาทมาเป็นของตน พร้อมทั้งวัตถุประสงค์ของการยกให้ ไม่ใช่เป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็น
ทรัพย์สินของแผ่นดินมี 2 ประเภท คือ ทรัพย์สินของแผ่นดินธรรมดาซึ่งเป็นของรัฐ กับสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งมีลักษณะสำคัญอยู่ที่ว่าใช้เพื่อสาธาณประโยชน์หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน ฉะนั้น ทรัพย์สิน ของแผ่นดินที่จะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่นั้น จึงขึ้นอยู่กับสภาพของทรัพย์สินนั้นเองว่าใช้เพื่อ สาธารณประโยชน์หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกันหรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ที่ดินพิพาทซึ่ง ช. ยกให้โจทก์ได้ใช้เป็นที่ตั้งโรงเรียน ป. และเนื่องจากโจทก์เป็นหน่วยงานของรัฐ ทรัพย์สินของโจทก์จึงเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินประเภทสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อสาธารณประโยชน์หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกันตาม ป.พ.พ. มาตรา 1304 จำเลยจึงไม่อาจยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1306 เมื่อประเด็นในคดีมีว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองตามข้อต่อสู้หรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งกฎหมายห้ามมิให้จำเลยยกอายุความขึ้นต่อสู้กับแผ่นดิน จำเลยย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองตาม มาตรา 1382 จึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำออกจากที่ดินของโจทก์ตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๘๖๔๙๔ เลขที่ดิน ๓๓๕๘ ตำบลห้วยขวาง (สามเสนนอกฝั่งเหนือ) อำเภอห้วยขวาง (บางซื่อ) จังหวัดกรุงเทพมหานคร
จำเลยให้การว่า จำเลยได้เข้าไปครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทด้วยความสงบ เปิดเผย และด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตั้งแต่ปี ๒๕๒๔ ติดต่อกันมาเป็นเวลาเกินกว่า ๑๐ ปี ที่ดินพิพาทจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการ ครอบครองปรปักษ์ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นหมายเรียกนายวิจิตร ตันมณี กับนางสาวสังวาลย์ ตันมณี ทายาทของ นายโปร่ง หงษ์อ่อน เข้ามาเป็นจำเลยร่วมตามคำร้องของจำเลย
จำเลยร่วมทั้งสองให้การว่า จำเลยบุกรุกที่ดินส่วนที่เป็นถนนในซอย หน้าบ้านจำเลยซึ่งเป็นของจำเลยร่วมที่ ๒ ที่จะยกให้เป็นทางสาธารณประโยชน์ด้วย ทำให้จำเลยที่ ๒ ต้องฟ้องขับไล่จำเลย คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของ ศาลอุทธรณ์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยพร้อมบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำออกไปจากที่ดินของโจทก์ ตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๘๖๔๙๔ ยกฟ้องจำเลยร่วมทั้งสอง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๖๔๙๔ ซึ่งใช้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนประชาราษฎร์บำเพ็ญอันเป็นสถานศึกษาในสังกัดของโจทก์ ต่อมาประมาณปี ๒๕๒๔ จำเลยได้ปลูกสร้างโรงรถและทำรั้วลวดหนามรุกล้ำเข้ามาในที่ดินแปลงดังกล่าว
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า โจทก์นำสืบนอกฟ้องนอกประเด็นหรือไม่ ซึ่งในข้อนี้จำเลยอ้างว่า คดีไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่า ที่ดินตามฟ้องเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน การที่โจทก์นำสืบว่าที่ดินตามฟ้องโจทก์ได้รับการยกให้จากผู้มีชื่อเพื่อใช้ในกิจการของโจทก์ซึ่งเป็นการนำสืบว่า ที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน จำเลยยกอายุความขึ้นต่อสู้ไม่ได้ จึงเป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็นนั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลย โดยบรรยายในฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลและเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่น มีอำนาจหน้าที่ในการดูแลรักษาที่ดินสาธารณะ โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๘๖๔๙๔ ซึ่งปัจจุบันใช้เป็นที่ตั้งโรงเรียนประชาราษฎร์บำเพ็ญอันเป็นสถานศึกษาในสังกัดของโจทก์ จำเลยต่อสู้ว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยแล้วโดยการครอบครองเกินกว่า ๑๐ ปี การที่โจทก์นำสืบว่า เดิมที่ดินพิพาทเป็นของใครและโจทก์ได้ที่ดินพิพาทมาโดยเจ้าของเดิมยกให้เพื่อใช้ในกิจการของโจทก์ ดังนี้ เป็นการนำสืบถึงมูลเหตุซึ่งได้ที่ดินพิพาทมาเป็นของตนพร้อมทั้งวัตถุประสงค์ของการยกให้นั้น จึงไม่ใช่เป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็น
ที่จำเลยฎีกาต่อไปว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีนอกฟ้องนอกประเด็นคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบ เพราะการที่โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทก็ย่อมฟังได้แต่เพียงว่า ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินเท่านั้น จะฟังว่าเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไม่ได้นั้น เห็นว่า ทรัพย์สินของแผ่นดินมี ๒ ประเภทด้วยกัน คือทรัพย์สินของแผ่นดินธรรมดา ซึ่งเป็นของรัฐ กับสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งมีลักษณะสำคัญอยู่ที่ว่าใช้เพื่อสาธารณประโยชน์หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน ฉะนั้น ทรัพย์สินของแผ่นดินที่จะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่นั้น จึงขึ้นอยู่กับสภาพของทรัพย์สินนั้นเองว่าได้ใช้เพื่อสาธารณประโยชน์หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกันหรือไม่ คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องไว้แล้วว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินแปลงพิพาทซึ่งปัจจุบันใช้เป็นที่ตั้งที่ทำการของโรงเรียนประชาราษฎร์บำเพ็ญอันเป็นสถานศึกษาสังกัดโจทก์ เมื่อข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาปรากฏว่า ที่ดินพิพาทซึ่งเป็นบริษัทชัยณรงค์นิเวศน์ จำกัด ยกให้โจทก์ได้ใช้เป็นที่ตั้งโรงเรียนประชาราษฎร์บำเพ็ญ และเนื่องจากโจทก์เป็นหน่วยงานของรัฐ ทรัพย์สินของโจทก์จึงเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน และเมื่อสภาพของที่ดินพิพาทได้ใช้เป็นที่ตั้งของโรงเรียน ที่ดินพิพาทจึงเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินประเภทสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อสาธารณประโยชน์หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๔ ซึ่งจำเลยไม่อาจยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๖ ประเด็นในคดีนี้มีว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครอง ตามข้อต่อสู้หรือไม่ ฉะนั้น การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งกฎหมายห้าม มิให้จำเลยยกอายุความขึ้นต่อสู้กับแผ่นดิน จำเลยย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองตามประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ จึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นแต่อย่างใด
พิพากษายืน .

Share