แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
เมื่อโจทก์ส่งภาพถ่ายสำเนาหนังสือมอบอำนาจช่วงเป็นพยานต่อศาล จำเลยไม่ได้คัดค้านหรือโต้แย้งว่าโจทก์มิได้ส่งต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจช่วงแต่อย่างใด การที่ศาลชั้นต้นรับฟังสำเนาหนังสือมอบอำนาจช่วงดังกล่าว จึงเท่ากับศาลชั้นต้นอนุญาตให้นำสำเนาเอกสารนั้นมาสืบได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 93 (2) สำเนาหนังสือมอบอำนาจช่วงจึงสามารถรับฟังเป็นพยานเอกสารได้ เมื่อปรากฏว่าเป็นการรับฟังสำเนาเอกสารเป็นพยานหลักฐานแทนต้นฉบับเอกสาร จึงไม่ใช่การรับฟังต้นฉบับเอกสารเป็นพยานหลักฐาน ทั้งสำเนาหนังสือมอบอำนาจช่วงดังกล่าวก็มิใช่คู่ฉบับหรือคู่ฉีกแห่งตราสาร จึงไม่อยู่ในบังคับให้ต้องปิดอากรแสตมป์ตาม ป.รัษฎากร มาตรา 118 สำเนาหนังสือมอบอำนาจช่วงดังกล่าวจึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ไม่ต้องห้ามตาม ป.รัษฎากร แต่อย่างใด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารพร้อมทั้งขนย้ายสัมภาระและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินบางส่วนของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 407 ตำบลหนองอ้อ และเลขที่ 319 ตำบลดอนกระเบื้อง อำเภอบ้างโป่ง จังหวัดราชบุรี ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าวอีกต่อไป และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ไร่ละ 500 บาทต่อเดือน นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดินพิพาท
จำเลยให้การปฏิเสธและฟ้องแย้งว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง และพิพากษาให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ส่วนที่ทับที่ดินของจำเลยกับพวก ให้โจทก์ไปดำเนินการยกเลิกต่อเจ้าพนักงาน หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนโจทก์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ฟ้องแย้งของจำเลยขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายสัมภาระและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาทในกรอบเส้นสีน้ำตาลและสีส้มตามแผนที่วิวาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 407 ตำบลหนองอ้อ และเลขที่ 319 ตำบลดอนกระเบื้อง อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าวอีกต่อไป ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ในอัตราเดือนละ 500 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดินพิพาท ยกฟ้องแย้ง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยถึงแก่ความตาย โจทก์ยื่นคำร้องขอให้หมายเรียกนางหยุงฟ้า นางสาวปรียาภรณ์ นางสาวอมนพรรณ นางสาวสุวภัทร และนายศักดิ์ชัย ทายาทเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลฎีกามีคำสั่งเรียกนางสาวปรียาภรณ์ นางสาวอมนพรรณ นางสาวสุวภัทร และนายศักดิ์ชัย เป็นคู่ความแทน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาเฉพาะข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยที่ต้องวินิจฉัยว่า หนังสือมอบอำนาจช่วงที่มุขนายกมนัสผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์มอบอำนาจช่วงให้นายมนัสหรือนายอำพลหรือนายไพรัชฟ้องจำเลยจะรับฟังเป็นพยานหลักฐานตามกฎหมายได้หรือไม่ จำเลยฎีกาว่าหนังสือมอบอำนาจช่วง ผู้รับมอบอำนาจช่วง 3 คน ต่างคนต่างกระทำกิจการแยกกันโจทก์จึงต้องปิดอากรแสตมป์ตามรายตัวบุคคลที่ได้รับมอบอำนาจช่วงคนละ 30 บาท แต่โจทก์ปิดอากรแสตมป์ในหนังสือมอบอำนาจช่วงเพียง 30 บาท จึงไม่ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด รับฟังเป็นพยานหลักฐานว่ามีการมอบอำนาจช่วงให้ฟ้องคดีนี้ไม่ได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้นั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์นำสืบส่งภาพถ่ายสำเนาหนังสือมอบอำนาจช่วงเป็นพยานต่อศาล จำเลยไม่ได้คัดค้านหรือนำสืบโต้แย้งว่า โจทก์มิได้ส่งต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจช่วงและนำสำเนาหนังสือมอบอำนาจช่วงมามาสืบแต่อย่างใด การที่ศาลชั้นต้นรับฟังสำเนาหนังสือมอบอำนาจช่วงดังกล่าว จึงเท่ากับศาลชั้นต้นอนุญาตให้นำสำเนาเอกสารนั้นมาสืบได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93 (2) สำเนาหนังสือมอบอำนาจช่วงจึงสามารถรับฟังเป็นพยานเอกสารได้ เมื่อปรากฏว่าเป็นการรับฟังสำเนาเอกสารเป็นพยานหลักฐานแทนต้นฉบับเอกสาร จึงหาใช่เป็นการรับฟังต้นฉบับเอกสารเป็นพยานหลักฐานอันจะต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากรดังที่จำเลยอ้างไม่ และสำเนาหนังสือมอบอำนาจช่วงดังกล่าวก็มิใช่คู่ฉบับหรือคู่ฉีกแห่งตราสาร ไม่อยู่ในบังคับที่จะต้องปิดอากรแสตมป์ด้วยเช่นกัน สำเนาหนังสือมอบอำนาจช่วงจึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลรัษฎากรแต่อย่างใด ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน