คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2407/2560

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีที่จำเลยขอให้ถอดถอนโจทก์จากตำแหน่งประธานกรรมการมูลนิธิตาม ป.พ.พ. มาตรา 129 เป็นเรื่องกล่าวหาการกระทำของโจทก์ขณะปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการมูลนิธิเป็นหลัก เมื่อได้ความว่าข้อความที่จำเลยเบิกความในคดีนั้นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนโจทก์ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการมูลนิธิ การที่จำเลยเบิกความจึงเป็นเพียงให้พฤติการณ์ของโจทก์ตามที่จำเลยกล่าวหาในขณะดำรงตำแหน่งประธานกรรมการมูลนิธิมีน้ำหนักน่าเชื่อถือเท่านั้น ลำพังพฤติการณ์ของโจทก์ตามที่จำเลยเบิกความยังไม่มีน้ำหนักพอให้รับฟังเป็นเหตุถอดถอนโจทก์ได้ ข้อความที่จำเลยเบิกความจึงไม่ใช่ข้อสำคัญในคดีที่จะเป็นความผิดฐานเบิกความเท็จ
เมื่อข้อความที่จำเลยเบิกความไม่ใช่ข้อสำคัญในคดี จึงไม่มีประโยชน์ที่จะวินิจฉัยว่าข้อความนั้นเป็นความเท็จหรือไม่อีกต่อไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 และ 177
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 วรรคแรก ให้จำคุก 1 ปี 6 เดือน และปรับ 6,000 บาท ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี และปรับ 4,000 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากไม่ชำระค่าปรับ ให้บังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 และ 30
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ตามที่ศาลอุทธรณ์รับฟังเป็นยุติ ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า ข้อความที่จำเลยเบิกความต่อศาลแพ่งในคดีหมายเลขดำที่ 2782/2551 หมายเลขแดงที่ 6286/2552 เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2552 ตามคำฟ้องข้อ 2 ข้อย่อยที่ 4 เกี่ยวกับการกล่าวหาโจทก์ว่าในขณะเป็นผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์ได้นำเข้าลิงโคโลบัส สัตว์ในบัญชีควบคุมของอนุสัญญาไซเตสที่ห้ามนำเข้าหรือส่งออกโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นความผิดที่มีการตั้งกรรมการสอบสวนโจทก์ดังปรากฏตามข่าวหน้าหนังสือพิมพ์ เป็นความเท็จที่เป็นข้อสำคัญในคดีหรือไม่ โดยเห็นสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่าข้อความที่จำเลยเบิกความในคดีดังกล่าวเป็นข้อสำคัญในคดีที่จำเลยกับพวกร้องขอให้ถอดถอนโจทก์จากประธานกรรมการมูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่าและพรรณพืชแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ หรือไม่ เห็นว่า คดีของศาลแพ่งหมายเลขดำที่ 2782/2551 จำเลยกับพวกยื่นคำร้องขอให้ถอดถอนโจทก์จากประธานกรรมการมูลนิธิโดยอาศัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 129 ที่บัญญัติว่า กรรมการของมูลนิธิผู้ใดดำเนินกิจการของมูลนิธิผิดพลาดเสื่อมเสียต่อมูลนิธิ หรือดำเนินกิจการฝ่าฝืนกฎหมายหรือข้อบังคับของมูลนิธิ หรือกลายเป็นผู้มีฐานะหรือความประพฤติไม่เหมาะสมในการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ นายทะเบียน พนักงานอัยการ หรือผู้มีส่วนได้เสียคนหนึ่งคนใดอาจร้องขอต่อศาลให้มีคำสั่งถอดถอนกรรมการของมูลนิธิผู้นั้นได้ จำเลยกับพวกบรรยายคำร้องขอถอดถอนโจทก์จากตำแหน่งประธานกรรมการมูลนิธิในส่วนสภาพแห่งข้อหาของคดีดังกล่าวเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือข้อ 3 ที่บรรยายว่า ระหว่างปี 2546 ถึงปัจจุบันต่อเนื่องกันโจทก์ดำเนินกิจการมูลนิธิผิดพลาดและเสื่อมเสียต่อมูลนิธิและฝ่าฝืนกฎหมายและข้อบังคับของมูลนิธิ โดยบรรยายรายละเอียดพฤติกรรมของโจทก์เพื่อสนับสนุนข้อกล่าวหาดังกล่าวเป็น 7 ข้อย่อย ซึ่งข้อความพิพาทในชั้นนี้บรรยายอยู่ในคำร้องข้อย่อยที่ 3.5 กับส่วนที่ 2 คือข้อ 4 ที่กล่าวหาว่าพฤติการณ์ของโจทก์ ใช้ฐานะตำแหน่งนักอนุรักษ์สัตว์ป่าบังหน้าหาประโยชน์ทำการค้าสัตว์ป่าเป็นปฏิปักษ์และผิดตราสารมูลนิธิ ขัดขวางการทำงานของเลขาธิการมูลนิธิ กระทำให้กรรมการมูลนิธิมีมติยุติการดำเนินงานของมูลนิธิโดยไม่ชอบ ซึ่งตามคำร้องเป็นเรื่องกล่าวหาการกระทำของโจทก์ในขณะปฏิบัติหน้าที่เป็นประธานกรรมการมูลนิธิเป็นข้อหาหลัก แต่ข้อเท็จจริงที่ได้ความทั้งจากคำร้องขอถอดถอนในคดีดังกล่าวและตามทางนำสืบในคดีนี้ได้ความว่า ข้อความที่จำเลยเบิกความดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 2542 ถึงปี 2545 ก่อนที่โจทก์จะเข้าดำรงตำแหน่งประธานกรรมการมูลนิธิ การที่ผู้ร้องเข้าเบิกความต่อศาลกล่าวหาโจทก์ในฐานะผู้คัดค้านว่าขณะผู้คัดค้านเป็นผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์ได้นำเข้าลิงโคโลบัสสัตว์ในบัญชีควบคุมของอนุสัญญาไซเตส ที่ห้ามนำเข้าโดยไม่ได้รับอนุญาต ผู้คัดค้านในฐานะประธานกรรมการมูลนิธิกระทำละเมิดต่อวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ ภายหลังกรมป่าไม้ได้รับลิงโคโลบัสไป การกระทำของผู้คัดค้านเป็นความผิดมีการตั้งกรรมการสอบสวนดังปรากฏตามข่าวหน้าหนังสือพิมพ์นั้น ก็เพียงเพื่อให้พฤติการณ์ของโจทก์ตามที่จำเลยกล่าวหาต่าง ๆ ในขณะดำรงตำแหน่งประธานกรรมการมูลนิธิมีน้ำหนักน่าเชื่อถือเท่านั้น ลำพังพฤติการณ์ของโจทก์ตามข้อความที่จำเลยเบิกความในส่วนดังกล่าวเพียงประการเดียว ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังเป็นเหตุถอดถอนโจทก์ออกจากประธานกรรมการมูลนิธิได้ ข้อความที่จำเลยเบิกความในส่วนนี้จึงไม่ใช่ข้อสำคัญในคดีที่จะเป็นความผิดฐานเบิกความเท็จ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าข้อความดังกล่าวเป็นข้อสำคัญในคดีร้อง ขอถอดถอนโจทก์ออกจากประธานกรรมการมูลนิธิโดยไม่แสดงเหตุผลความสำคัญในคดีอย่างไรนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย คดีไม่มีประโยชน์ที่จะต้องวินิจฉัยว่าข้อความที่จำเลยเบิกความดังกล่าวเป็นความเท็จหรือไม่อีกต่อไป
พิพากษาแก้เป็น ให้ยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานเบิกความเท็จเกี่ยวกับการกล่าวหาโจทก์นำเข้าลิงโคโลบัสตามคำฟ้องข้อ 2 ข้อย่อยที่ 4 เสียด้วย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share