แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำเลยในมูลหนี้ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลางของอาคารชุดจะอยู่ในฐานะเจ้าหนี้ผู้มีบุริมสิทธิเหนือห้องชุดที่พิพาทของจำเลยตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ.2522 มาตรา 41 อันทำให้ผู้ร้องมีสิทธิเหนือห้องชุดที่พิพาทในการที่จะได้รับชำระหนี้ที่ค้างชำระก่อนเจ้าหนี้อื่นๆ ก็ตาม แต่ผู้ร้องก็มีหน้าที่ต้องบอกลงทะเบียนในมูลหนี้ดังกล่าวหรือส่งรายการหนี้ดังกล่าวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อให้เกิดผลในบุริมสิทธิ การที่ผู้ร้องเพียงแต่แจ้งจำนวนหนี้ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลางที่จำเลยค้างชำระต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีซึ่งเป็นเจ้าพนักงานผู้ทำหน้าที่บังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้เพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษา ไม่นับเป็นการบอกลงทะเบียนหรือส่งรายการหนี้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ อันมีผลทำให้บุริมสิทธิของผู้ร้องที่มีเหนือห้องชุดสิ้นผลไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 285 ผู้ร้องจึงอยู่ในฐานะเพียงเจ้าหนี้สามัญที่มีสิทธิเพียงขอเฉลี่ยในเงินที่ได้จากการขายห้องชุดที่พิพาท
ผู้ร้องไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอเฉลี่ยหนี้ล่วงหน้าก่อนที่ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญาค้ำประกันจำนวน 652,970 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 12 ต่อปี ของต้นเงิน 413,358.87 ดอลลาร์สหรัฐ นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยถืออัตราแลกเปลี่ยนเงินตราในวันที่ศาลพิพากษา กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท แต่จำเลยไม่ชำระ โจทก์จึงนำยึดห้องชุดเลขที่ 33/7 ชั้นที่ 5 อาคารชุดบ้านปรีดาของจำเลยซึ่งติดจำนองแก่ธนาคารไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน) เพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยหนี้ในเงินที่ได้จากการขายห้องชุดของจำเลย
โจทก์ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาว่าผู้ร้องมีสิทธิขอเฉลี่ยในเงินที่ได้จากการขายห้องชุดที่พิพาทหรือไม่ โดยผู้ร้องฎีกาว่า การที่ผู้ร้องมีหนังสือขอรับเงินค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลางของอาคารชุดบ้านปรีดาที่จำเลยค้างชำระแก่ผู้ร้องไปยังเจ้าพนักงานบังคับคดี ถือว่าเป็นการลงทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ.2522 มาตรา 41 แล้ว และผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์นั้น เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่าผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำเลยในมูลหนี้ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลางของอาคารชุดบ้านปรีดาจะอยู่ในฐานะเจ้าหนี้ผู้มีบุริมสิทธิเหนือห้องชุดที่พิพาทของจำเลยตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ.2522 มาตรา 41 อันทำให้ผู้ร้องมีสิทธิเหนือห้องชุดที่พิพาทในการที่จะได้รับชำระหนี้ที่ค้างชำระก่อนเจ้าหนี้อื่น ๆ ก็ตาม แต่ผู้ร้องก็มีหน้าที่ต้องบอกลงทะเบียนในมูลหนี้ดังกล่าวหรือส่งรายการหนี้ดังกล่าวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อให้เกิดผลในบุริมสิทธิดังกล่าว การที่ผู้ร้องเพียงแต่แจ้งจำนวนหนี้ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลางที่จำเลยค้างชำระต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีซึ่งเป็นเจ้าพนักงานผู้ทำหน้าที่บังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้เพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษา ไม่นับเป็นการบอกลงทะเบียนหรือส่งรายการหนี้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เพราะพนักงานเจ้าหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ.2522 หมายถึง ผู้ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ซึ่งในขณะนั้นได้แก่ อธิบดีกรมที่ดินและเจ้าพนักงานที่ดินตามคำสั่งกระทรวงมหาดไทยที่ 434/2522 ลงวันที่ 18 พฤษภาคม 2522 และเมื่อผู้ร้องมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวกับการจดแจ้งและลงรายการเกี่ยวกับบุริมสิทธิให้ถูกต้องย่อมทำให้บุริมสิทธิของผู้ร้องที่มีเหนือห้องชุดสิ้นผลไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 285 ผู้ร้องจึงอยู่ในฐานะเพียงเจ้าหนี้สามัญที่มีสิทธิเพียงขอเฉลี่ยในเงินที่ได้จากการขายห้องชุดที่พิพาท แต่ปรากฏว่า จำเลยค้างชำระค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลางเป็นเงิน 93,243.17 บาท ผู้ร้องทวงถามแล้วแต่จำเลยไม่ชำระ ผู้ร้องจึงฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นเพื่อบังคับให้ชำระหนี้ดังกล่าวตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1077/2543 ของศาลชั้นต้น ซึ่งศาลชั้นต้นกำหนดนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2543 ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า ในขณะที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยหนี้เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2543 ผู้ร้องยังมิได้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 วรรคหนึ่ง ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิที่จะร้องขอเข้าเฉลี่ยหนี้ในคดีนี้ ที่ผู้ร้องฎีกาทำนองว่า คดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1077/2543 ของศาลชั้นต้นดังกล่าว ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษากลับให้ผู้ร้องชนะคดีเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2545 ผู้ร้องจึงเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์มีสิทธิร้องขอเฉลี่ยหนี้นั้น เห็นว่า ในขณะที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยหนี้ ผู้ร้องเป็นเพียงเจ้าหนี้ที่อยู่ระหว่างการฟ้องบังคับเอาชำระหนี้จากจำเลย หาได้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาไม่ แม้ภายหลังที่ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอเฉลี่ยหนี้แล้ว ต่อมาผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังที่ผู้ร้องอ้างก็หามีผลย้อนไปให้ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในขณะยื่นคำร้องไม่ ผู้ร้องไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอเฉลี่ยหนี้ล่วงหน้าก่อนที่ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องของผู้ร้องนั้นชอบแล้ว ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ