คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2392/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยจดทะเบียนไถ่ถอนการขายฝากที่ดินและรับเงินสินไถ่ โจทก์ชนะคดีศาลไม่จำเป็นที่จะต้องสั่งให้โจทก์วางเงินสินไถ่ต่อศาลภายในกำหนด เนื่องจากคู่ความมิได้ขอให้ศาลพิพากษาเช่นนั้น ซึ่งเป็นความประสงค์ของจำเลยที่เกินคำขอกรณีเช่นนี้เป็นเรื่องที่คู่ความจะต้องปฏิบัติในชั้นบังคับคดี.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ทำสัญญาขายฝากที่ดินรวมสิ่งปลูกสร้างให้จำเลย มีกำหนด 1 ปี ก่อนครบกำหนดโจทก์นัดให้จำเลยไปจดทะเบียนไถ่ที่ดินคืน แต่จำเลยไม่ไปตามนัด ขอให้พิพากษาให้จำเลยรับเงิน 600,000 บาท และจดทะเบียนไถ่ถอนขายที่ดินแก่โจทก์โดยหักค่าเสียหายให้โจทก์ 400,000 บาท คงรับจริงเป็นเงิน 200,000บาท
จำเลยให้การว่า รับซื้อฝากไว้จริง โจทก์เป็นฝ่ายผิดนัดไม่ไปตามกำหนด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรับการไถ่ถอนการขายฝากจากโจทก์ในจำนวนเงิน 600,000 บาท โดยให้โจทก์นำเงินมาวางศาลภายใน 30 วันมิฉะนั้นถือว่าโจทก์สละสิทธิ์การไถ่และให้จำเลยไปจดทะเบียนการขายฝากให้โจทก์ หากจำเลยไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยรับการไถ่ถอนการขายฝากที่ดินพิพาทจากโจทก์ในจำนวนเงิน 600,000 บาท โดยโจทก์ไม่ต้องนำเงินมาวางศาล ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 30,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…สำหรับฎีกาของจำเลยที่จะให้โจทก์วางเงินสินไถ่การขายฝาก 600,000 บาท ต่อศาลภายใน 30 วันนั้นศาลชั้นต้นได้พิพากษากำหนดเวลาให้โจทก์วางเงิน ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเกินคำขอ โจทก์ไม่ต้องวางเงินค่าไถ่ภายใน 30 วัน ข้อนี้ศาลฎีกาเห็นว่า คู่ความมิได้ขอให้ศาลพิพากษาเช่นนั้น เป็นความประสงค์ของจำเลยที่เกินคำขอ และกรณีเช่นนี้เป็นเรื่องที่คู่ความจะต้องปฏิบัติในชั้นบังคับคดี เมื่อโจทก์ต้องการที่ดินก็ต้องชำระเงินให้จำเลยเพื่อไถ่การขายฝาก จึงไม่จำเป็นที่จะต้องสั่งให้โจทก์วางเงินสินไถ่ภายใน 30 วัน…”
พิพากษายืน.

Share