แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่จำเลยที่ 1 ถูกโจทก์ร่วมพูดจาหมิ่นประมาทว่าเที่ยวชอบเล่นชู้แล้วรังแกและทำร้าย โดยจำเลยที่ 1 เป็นหญิง ส่วนโจทก์ร่วมเป็นชายมีรูปร่างใหญ่กว่าจำเลยที่ 1 มาก ไม่มีหนทางที่จะต่อสู้ได้จำเลยที่ 1 จึงใช้มีดซึ่งอยู่ในถุงย่ามที่สะพายติดตัวมาแทงโจทก์ร่วมเพื่อมิให้โจทก์ร่วมทำร้ายจำเลยที่ 1 ถือได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการที่ถูกโจทก์ร่วมประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง แต่การที่จำเลยที่ 1 ใช้มีดแทงโจทก์ร่วมถึง 3 ครั้ง ตรงอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย จึงเป็นการกระทำที่เกินสมควรแก่เหตุ จำเลยที่ 1ย่อมมีความผิดฐานพยายามฆ่าโจทก์ร่วมโดยป้องกันสิทธิของตนเกินสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วย มาตรา 80 และมาตรา 69 ส่วนจำเลยที่ 2 ซึ่งเข้าไปช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ในขณะที่โจทก์ร่วมกำลังทำร้ายจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 หยิบไม้ฟืนที่เป็นเชื้อเพลิงใช้ทำขนมซึ่งวางอยู่ใกล้ตัวตีโจทก์ร่วมไปเพียงครั้งเดียวและไม่เลือกว่าที่ส่วนไหนของร่างกายเพื่อป้องกันมิให้โจทก์ร่วมทำร้ายจำเลยที่ 1 เมื่อตีแล้วก็โยนไม้ทิ้งและนั่งขายขนมต่อถือได้ว่าจำเลยที่ 2 กระทำไปโดยฉับพลันทันทีเพื่อป้องกันจำเลยที่ 1ให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ย่อมถือได้ว่าเป็นการกระทำป้องกันพอสมควรแก่เหตุ จำเลยที่ 2 จึงไม่มีความผิด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 80, 83, 288, 33 ริบมีดและไม้ฟืนของกลาง
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การต่อสู้อ้างเหตุป้องกัน
ระหว่างพิจารณา นายทองคำ เหล่าฤทธิ์ ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80 ประกอบมาตรา 69 ให้จำคุก 2 ปี คำเบิกความของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง นับเป็นเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงเหลือโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ 1 ปี 4 เดือน มีดของกลางริบ ส่วนไม้ฟืนของกลางไม่ใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำผิดให้คืนแก่จำเลยที่ 2 ไป ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2
โจทก์ร่วมและจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 83 ลงโทษจำคุกคนละ 15 ปีคำให้การของจำเลยทั้งสองเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้างนับเป็นเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้คนละหนึ่งในสาม คงลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 10 ปี ริบไม้ฟืนของกลาง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังยุติได้ว่า โจทก์ร่วมกับจำเลยที่ 1 เป็นสามีภรรยากันแต่หย่าขาดจากกันแล้ว จำเลยที่ 2 เป็นพี่สาวของจำเลยที่ 1 ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยที่ 1 ใช้มีดแทงและจำเลยที่ 2ใช้ไม้ฟืนตีโจทก์ร่วมได้รับอันตรายสาหัส มีบาดแผลที่หน้าอก หน้าท้องด้านข้างลำตัวและที่ศีรษะ ปรากฏตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์เอกสารหมาย จ.2 มีปัญหาตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ข้อเท็จจริงจึงน่าเชื่อว่า ก่อนที่จำเลยที่ 1 จะใช้มีดแทงโจทก์ร่วมนั้นจำเลยที่ 1 ถูกโจทก์ร่วมพูดจาหมิ่นประมาทรังแกและทำร้าย จำเลยที่ 1เป็นผู้หญิงสูงเพียง 150 เซนติเมตร ส่วนโจทก์ร่วมสูง 170 เซนติเมตรหนัก 62 กิโลกรัม ใหญ่กว่าจำเลยที่ 1 มาก ไม่มีหนทางที่จะต่อสู้กับโจทก์ร่วมได้เลย การที่จำเลยที่ 1 ใช้มีดซึ่งอยู่ในถุงย่ามที่สะพายติดตัวมาแทงโจทก์ร่วมเพื่อมิให้โจทก์ร่วมทำร้ายจำเลยที่ 1จึงถือได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการที่ถูกโจทก์ร่วมประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง แต่การที่จำเลยที่ 1 ใช้มีดแทงโจทก์ร่วมถึง 3 ครั้ง ตรงอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย และบาดแผลที่หน้าท้องและที่ด้านข้างลำตัวด้านซ้ายมือ เลือดจากกล้ามเนื้อหน้าท้องไหลลงไปในช่องท้องประมาณ 1,500 ซี.ซี. ซึ่งนายแพทย์จีรศักดิ์ปริวัฒน์ศักดิ์ ผู้ตรวจบาดแผลลงความเห็นว่าหากบำบัดรักษาไม่ทันอาจทำให้ถึงตายได้เนื่องจากเสียเลือดมาก จึงเป็นการกระทำที่เกินสมควรแก่เหตุ จำเลยที่ 1 ย่อมมีความผิดฐานพยายามฆ่าโจทก์ร่วมโดยป้องกันสิทธิของตนเกินสมควรแก่เหตุ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 80 และมาตรา 69 ส่วนจำเลยที่ 2ข้อเท็จจริงได้ความแต่เพียงว่า ได้เข้าไปช่วยเหลือจำเลยที่ 1ในขณะที่โจทก์ร่วมกำลังทำร้ายจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 หยิบไม้ฟืนที่เป็นเชื้อเพลิงใช้ทำขนมซึ่งวางอยู่ใกล้ตัวตีโจทก์ร่วมไปเพียงครั้งเดียวและไม่เลือกว่าที่ส่วนไหนของร่างกายเพื่อป้องกันมิให้โจทก์ร่วมทำร้ายจำเลยที่ 1 เมื่อตีแล้วก็โยนไม้ทิ้งและนั่งขายขนมฝักบัวต่อไป ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 กระทำไปโดยฉับพลันทันทีเพื่อป้องกันจำเลยที่ 1 ให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ย่อมถือได้ว่าเป็นการกระทำป้องกันพอสมควรแก่เหตุ จำเลยที่ 2 จึงไม่มีความผิดที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามฟ้องศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังขึ้นบางส่วน และสำหรับจำเลยที่ 1 นั้น เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีที่ว่าโจทก์ร่วมเป็นฝ่ายหาเรื่องก่อเหตุพูดจาหมิ่นประมาท รังแก และทำร้ายจำเลยที่ 1ก่อนอันเป็นข้อน่าเห็นใจจำเลยที่ 1 เป็นอย่างมาก ประกอบกับไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงมีเหตุอันควรปรานีสมควรลงโทษจำเลยที่ 1 ในสถานเบา และรอการลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1ไว้ เพื่อให้โอกาสกลับตัวเป็นพลเมืองดีต่อไป”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80 ประกอบด้วยมาตรา 69 จำคุก 2 ปี คำเบิกความของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง นับเป็นเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 ปี 4 เดือน ให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ 2 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ไม้ฟืนของกลางไม่ใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำผิดให้คืนแก่เจ้าของไป นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1