คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2374/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นผู้เช่าและรับมอบที่พิพาทที่เช่ามาจากผู้ให้เช่าแล้ว การเช่ามีกำหนดคราวละ 1 ปี โจทก์ได้ต่อสัญญาและชำระค่าเช่าทุกปีตลอดมา แม้โจทก์ยังไม่เคยเข้าทำประโยชน์ในที่พิพาท แต่ได้ให้จำเลยอาศัยปลูกกระต๊อบอยู่ ต่อมาจำเลยรื้อกระต๊อบปลูกเป็นอาคารห้องแถวไม่ถาวรในที่พิพาทโดยมิได้รับความยินยอมจากโจทก์ ย่อมถือได้ว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทแล้ว เมื่อจำเลยปลูกห้องแถวไม้ในที่พิพาทหลังจากโจทก์มีสิทธิครอบครองโดยมิได้รับความยินยอมจากโจทก์ ก็ย่อมเป็นการรบกวนสิทธิครอบครองของโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้เช่าที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย ๑ แปลง ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๔ ติดต่อกันมาทุกปี เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๑๗ จำเลยได้ปลูกสร้างห้องไม้ชั้นเดียวลงในที่ดินดังกล่าวโดยไม่มีสิทธิ ทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากที่ดินที่เช่า โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอน แต่จำเลยเพิกเฉย จึงขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากที่พิพาทพร้อมทั้งรื้อถอนห้องไม้ออกไปด้วย ให้จำเลยชำระค่าธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์
จำเลยให้การว่า ที่ดินที่โจทก์อ้างว่าเช่าจากการรถไฟแห่งประเทศไทยตามสำเนาสัญญาท้ายฟ้องนั้นจะอยู่ตรงไหน มีอาณาเขตติดต่ออย่างไร จำเลยไม่ทราบ หากโจทก์จะได้เช่าที่ดินดังกล่าวก็เพิ่งเช่า หาได้เช่าตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๔ ไม่ จำเลยไม่เคยปลูกห้องแถวในที่ดินที่โจทก์เช่าจากการไฟรถแห่งประเทศไทย บ้านของจำเลยเป็นห้องแถวไม้ปลูกอยู่ในที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๐๐ ซึ่งโจทก์ทราบและเห็นตั้งแต่เริ่มสร้างแต่มิได้ทักท้วง เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๕๑๗ จำเลยได้ต่อเติมบ้านออกไปทางทิศเหนือซึ่งเป็นที่ว่างที่จำเลยครอบครองอยู่ โจทก์ทราบก็มิได้ทักท้วง จำเลยได้ขอเช่าที่ดินตรงที่ปลูกบ้านอยู่ซึ่งมีเนื้อที่ ๘ ตารางเมตรจากการรถไฟแห่งประเทศไทยโดยชำระเงินมัดจำแล้ว และตัดฟ้องว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่ดินตรงที่จำเลยปลูกบ้านอยู่ จำเลยไม่ได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์ไม่เคยเข้าครอบครองที่พิพาทมาก่อน โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องและฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาสืบพยานโจทก์แล้วเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่ต้องพิจารณาต่อไป จึงสั่งให้ลดสืบพยานจำเลยและพิพากษาว่าจำเลยไม่มีนิติสัมพันธกับโจทก์ ตั้งแต่โจทก์เช่าที่พิพาทมา โจทก์ยังไม่เคยเข้าครอบครอง แม้จะได้ความว่าจำเลยปลูกอาคารลงในที่ดินพิพาท การกระทำของจำเลยก็หาเป็นการละเมิดต่อโจทก์ไม่ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานจำเลยและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่าโจทก์เช่าที่พิพาทจากการรถไฟแห่งประเทศไทยตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๔ เนื้อที่ ๑๐๘ ตารางเมตร โจทก์ยังไม่เคยเข้าทำประโยชน์ในที่พิพาท สัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับการรถไฟแห่งประเทศไทยมีกำหนดระยะเวลา ๑ ปี แต่โจทก์ได้ต่อสัญญาและชำระค่าเช่าทุกปีเมื่อ พ.ศ.๒๕๑๐ จำเลยได้ขอปลูกกระต๊อบเพื่ออยู่อาศัยในที่พิพาทโดยจำเลยรับว่าหากโจทก์จะใช้ที่ดิน จำเลยก็จะรื้อถอนกระต๊อบออกไป โจทก์ยังไม่จำเป็นต้องใช้ที่พิพาทในขณะนั้น จึงอนุญาตให้จำเลยปลูกกระต๊อบอยู่อาศัยตลอดมาจนถึงปี พ.ศ.๒๕๑๗ จำเลยได้รื้อกระต๊อบเก่าปลูกอาคารห้องแถวไม้ถาวรขึ้นใหม่โจทก์จึงแจ้งให้จำเลยรื้อถอนออกไป แต่จำเลยกลับอ้างว่าได้ขอเช่าที่พิพาทจากการรถไฟแห่งประเทศไทยแล้ว หากข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบแล้วการที่โจทก์เป็นผู้เช่าและรับมอบที่พิพาทจากการรถไฟแห่งประเทศไทยมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๔ โดยเช่ามีกำหนดคราวละ ๑ ปี โจทก์ได้ต่อสัญญาและชำระค่าเช่าทุกปีตลอดมา จำเลยเพิ่งได้รับอนุญาตจากโจทก์ให้ปลูกกระต๊อบในที่พิพาทเมื่อ พ.ศ.๒๕๑๐ แล้วรื้อปลูกเป็นอาคารห้องแถวไม่ถาวร เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๗ โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ เช่นนี้ย่อมจะถือได้ว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทแล้ว เมื่อจำเลยเข้าไปปลูกห้องแถวไม้ในที่พิพาทหลังจากโจทก์มีสิทธิครอบครองโดยมิได้รับความยินยอมจากโจทก์ ก็ย่อมเป็นการรบกวนสิทธิครอบครองของโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้
พิพากษายืน.

Share