คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 237/2463

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้กรรมการตรวจฎีกาจำเลย อุทธรณคำพิพากษาศาลอุทธรณข้าหลวงพิเศษ

ย่อยาว

คดีโจทย์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน พ.ศ.๒๔๖๑ เวลากลางคืน จำเลยกับพวก ๔ คนมีสาตราวุธสมคบกันปล้นทรัพย์ของนายยิ้วผู่ (ชาติจีน) ซึ่งจอดเรือค้าขายอยู่ที่ตำบลสนามคลี จังหวัดพิศณุโลกไปตามบาญชีท้ายฟ้องรวมราคา ๖๒๒ บาท ๒๒ สตางค์ แลทำร้ายเจ้าทรัพย์มีบาดเจ็บ ขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณอาญามาตรา ๓๐๑ ฯ
นายเพ็งจำเลยให้การรับสารภาพว่า คืนเกิดเหตุนายเพ็ง นายสด นายแช่ม นายชม นายฉาว นายฟาได้พากันไปปล้นแลทำร้ายเจ้าทรัพย์จริงดุจข้อหา นายทาจำเลยให้การปฏิเสธข้อหา ต่อสู้อ้างฐานที่อยู่ ฯ
ศาลมณฑลพิศณุโลกพร้อมด้วยอธิบดีผู้พิพากษาพิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงว่านายยิ้วผู่กับนายยิ้วกุ่ย ๒ คนพี่น้องเปนคนค้าขายทางเรือ ได้มาจอดเรือพักนอนอยู่ที่น่าบ้านนายแก้ พอเวลาประมาณเที่ยงคืนมีผู้ร้ายมาเรือ ๒ ลำ แล้วแก้โซ่เรือเจ้าทรัพย์ให้ลอยตามน้ำไป นายยิ้วผู่นอนอยู่ทางหัวเรือรู้สึกตื่นขึ้น เห็นผู้ร้าย ๖ คนก็ร้องว่าขะโมยปล้นช่วยด้วย ผู้ร้ายก็ช่วยกันตีแลฟันจนนายยิ้วผู่ตกน้ำ แล้วนายยิ้วผู้ปีนขึ้นทางท้ายเรือได้ก็ขึ้นไปบนหลังคาประทุนเลิกขยาบตอนหัวเรือทิ้งน้ำแลได้เอาไม้ด้ามถ่อตีผู้ร้าย ๆ ก็เอาปืนยิงนายยิ้วผู่ ๑ นัดแต่ไม่ถูก ผู้ร้ายเข้าไปเก็บของในประทุนได้แล้วก็พากันลงเรือเล็กหนีไป แลทิ้งมีดซุยไว้ ๑ เล่ม นายยิ้วกุ่ยเบิกความยืนยันว่า ขณะปล้นนายยิ้วกุ่ยอยู่ในประทุน ได้เห็นผู้ร้ายเข้าไปเก็บของในประทุน ผู้ร้ายใช้ไม้ขีดไฟส่องหาสิ่งของ นายยิ้วกุ่ยจำหน้าผู้ร้ายที่เก็บของได้ ๒ คน คือ จำเลย ๒ คนนี้ แลนายยิ้วผู่ก็เบิกความว่าจำหน้าผู้ร้ายซึ่งออกมาจากประทุนได้ ๒ คน คือจำเลย ๒ คนนี้เหมือนกัน ด้วยขณะนั้นเดือนหงายสว่าง แลพยานเคยเห็นหน้าจำเลยมาก่อนถูกปล้นโดยจำเลยมาซื้อของบ้าง เห็นจำเลยเดิรไปมาทางถนนริมฝั่งบ้าง แลโจทย์มีคำนายเก๋งเบิกความประกอบเจ้าทรัพย์ว่าเมื่อได้ยินเสียงเจ้าทรัพย์ร้องให้ช่วย นายเก๋งได้ลงเรือพายไปช่วยเจ้าทรัพย์ แต่ยังห่างอีกสัก ๕ วา เห็นคน ๖ คนลงจากเรือเจ้าทรัพย์แล้วลงเรือเล็ก ๒ ลำ ๆ ละ ๓ คนพายสวนทางกับนายเก๋ง ๆ ยกปืนขึ้นจะยิง ผู้ร้ายว่าอ้ายเก๋งไม่ใช่ธุระอะไรของมึง นายเก๋งจำเสียงได้ว่าเสียงเหมือนนายทาจำเลย แลนายแช่มพยานโจทย์ก็เบิกความว่าเมื่อคืนเกิดเหตุนายเพ็งจำเลยไปชวนพยานเพื่อไปขะโมยของเจ๊กนายทาก็อยู่ที่นั่นด้วย แต่พยานไม่ไป ครั้นรุ่งขึ้นเจ้าทรัพย์ได้นำเหตุไปแจ้งแก่ผู้ใหญ่บ้าน ๆ เรียกประชุมลูกบ้าน นายยิ้วผู่นายยิ้วกุ่ยได้ชี้เอาจำเลยว่าเปนผู้ร้าย แลเมื่อนายปรุงปลัดอำเภอไต่สวน นายเพ็งจำเลยก็ให้การซัดว่านายทาจำเลยได้ไปปล้นทรัพย์รายนี้ด้วย ได้ความดังนี้ ฝ่ายพยานฐานที่นายทาจำเลยเบิกความแตกต่างกัน หาควรฟังมาหักล้างพยานโจทย์ได้ไม่ คดีฟังได้ว่าจำเลยทั้ง ๒ กับพวกเปนผู้ร้ายปล้นทรัพย์ของนายยิ้วผู่ แลทำร้ายนายยิ้วผู่มีบาดแผลที่ใต้ศอกขวาแลที่น่าอกรวม ๔ แผล แต่แผลไม่สาหัสจริงดุจข้อหาพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามกฎหมายลักษณอาญามาตรา ๓๐๑ ตอน ๑ ให้ลงโทษจำคุกจำเลยคนละ ๑๒ ปี แต่นายเพ็งจำเลยให้การรับสารภาพโดยดี ควรประณีย์ลดโทษให้ ๑ ใน ๓ ตามมาตรา ๕๙ คงให้ลงโทษจำคุกนายเพ็ง ๘ ปี กับให้จำเลยทั้ง ๒ คืนฤาใช้ราคาทรัพย์ ๖๒๒ บาท ๒๒ สตางค์ให้แก่เจ้าทรัพย์ ถ้าไม่มีใช้ให้จำแทนคนละ ๓๑๑ วัน ฯ
นายทาจำเลยผู้เดียวอุทธรณ ศาลอุทธรณข้าหลวงพิเศษพิพากษายืนตามศาลเดิม ฯ
นายทาจำเลยผู้เดียวทูลเกล้า ฯ ถวายฎีกา ฯ
กรรมการศาลฎีกาได้ประชุมปฤกษาคดีนี้ตลอดแล้ว ข้อเท็จจริงโจทย์มีสักขีพยานเบิกความประกอบกันเปนหลักฐานมั่นคงหามีข้อเคลือบแคลงแต่อย่างใดไม่ ด้วยขณะเกิดเหตุก็เปนเวลาเดือนหงาย พยานได้เห็นแลจำจำเลยได้ถนัดชัดเจนทั้งพยานเคยเห็นหน้าจำเลยมาก่อนด้วย คดีฟังได้ดังที่ศาลล่างได้วินิจฉัยมานั้น ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้นให้ยกเสีย ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลล่างนั้น ฯ
วันที่ ๒๑ กรกฎาคม พระพุทธศักราช ๒๔๖๓

Share