คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3691/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จะถือว่าเมื่อสิ้นกำหนดการเช่าแล้วมีการเช่ากันใหม่ต่อไปไม่มีกำหนดเวลาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 570 นั้นกฎหมายไม่ได้กำหนดว่าผู้ให้เช่ามีหน้าที่จะต้องบอกเลิกการเช่าหรือบอกกล่าวให้ผู้เช่าทราบก่อนหรือในวันครบกำหนดการเช่าว่าจะไม่ให้เช่าต่อไป หากแต่ให้ดูเจตนาของผู้ให้เช่าว่ามีการยินยอมให้ผู้เช่าอยู่ต่อไปหรือไม่ซึ่งการยินยอมนั้นรวมถึงการไม่ทักท้วงเมื่อรู้ว่าผู้เช่าครอบครองทรัพย์สินที่เช่าต่อมาหลังจากสิ้นกำหนดเวลาเช่าแล้ว สัญญาเช่าที่ดินมีกำหนดเวลาแน่นอน โจทก์มีหนังสือบอกเลิกการเช่าไปยังจำเลยในวันครบกำหนดการเช่า แสดงให้เห็นเจตนาของโจทก์ว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยเช่าต่อไป นับแต่วันครบกำหนดการเช่าแล้ว และหนังสือดังกล่าวนั้นจำเลยได้รับแล้วพฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่าโจทก์ได้ทักท้วงในการที่จำเลยจะอยู่ในที่เช่าต่อไป ดังนี้การที่จำเลยอยู่ในที่เช่าต่อมาภายหลังสัญญาเช่าครบกำหนดแล้ว จึงไม่ใช่การเช่ากันใหม่โดยไม่มีกำหนดเวลาตามมาตรา 570 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องโดยไม่จำต้องบอกเลิกการเช่าตามมาตรา 566 อีก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเช่าที่ดินดังกล่าวบางส่วนจากโจทก์ปลูกบ้านเมื่อสัญญาเช่าสิ้นสุดลง โจทก์ให้ทนายความมีหนังสือบอกเลิกการเช่าให้จำเลยพร้อมทั้งบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินโจทก์จำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวของทนายโจทก์แล้วไม่ยอมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ยังอยู่ในที่ดินของโจทก์ เป็นการละเมิด ขอให้บังคับจำเลยพร้อมทั้งบริวารรื้อถอนบ้านออกจากที่ดินของโจทก์ และชดใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า จำเลยเช่าที่ดินของโจทก์ตามฟ้องจริงมีกำหนดเวลา 2 ปี นับแต่วันที่ 5 มกราคม 2529 ถึงวันที่ 5 มกราคม2531 ชำระค่าเช่าเป็นรายปี สัญญาเช่าครบกำหนดโจทก์บอกเลิกการเช่า ตามหนังสือลงวันที่ 5 มกราคม 2531 แต่จำเลยได้รับวันที่7 มกราคม 2531 จึงถือว่าวันที่ 7 มกราคม 2531 เป็นวันบอกเลิกการเช่าของโจทก์ และเป็นเวลาหลังจากครบกำหนดสัญญาเช่าแล้วจึงถือว่าโจทก์ให้จำเลยเช่าที่ดินต่อมาโดยไม่มีกำหนดเวลา หากโจทก์จะเลิกการเช่ากับจำเลย โจทก์จะต้องบอกกล่าวให้จำเลยทราบล่วงหน้าก่อนชั่วกำหนดเวลาชำระค่าเช่า จำเลยชำระค่าเช่าให้โจทก์เป็นรายปีโจทก์ต้องบอกเลิกการเช่าก่อน 1 ปี การบอกเลิกการเช่าของโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบ้านออกไปจากที่ดินโจทก์ ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน100 บาท และชดใช้ค่าเสียหายเดือนละ 100 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนและขนย้ายบ้านทรัพย์สินออกไปจากที่ดินโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า จำเลยได้ทำสัญญาเช่าที่พิพาทจากโจทก์มีกำหนด 2 ปี ครบกำหนดการเช่าวันที่ 5มกราคม 2531 โจทก์มีหนังสือบอกเลิกการเช่าไปยังจำเลยในวันครบกำหนดการเช่าดังกล่าว แต่จำเลยได้รับวันที่ 7 มกราคม 2531ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่าการที่จำเลยอยู่ในที่พิพาทต่อมาหลังจากสัญญาเช่าครบกำหนดถือว่าได้ทำสัญญาเช่ากันใหม่ต่อไปไม่มีกำหนดเวลาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 570ซึ่งโจทก์จะต้องบอกเลิกการเช่าตามมาตรา 566 ก่อนจึงจะมีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า การที่จะถือว่าเมื่อสิ้นกำหนดการเช่าแล้วมีการเช่ากันใหม่ต่อไปไม่มีกำหนดเวลาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 570 นั้น กฎหมายไม่ได้กำหนดว่าผู้ให้เช่ามีหน้าที่จะต้องบอกเลิกการเช่าหรือบอกกล่าวให้ผู้เช่าทราบก่อนหรือในวันครบกำหนดการเช่าว่าจะไม่ให้เช่าต่อไป หากแต่ให้ดูเจตนาของผู้ให้เช่าว่ามีการยินยอมให้ผู้เช่าอยู่ต่อไปหรือไม่ ซึ่งการยินยอมนั้นรวมถึงการไม่ทักท้วงเมื่อรู้ว่าผู้เช่าครอบครองทรัพย์สินที่เช่าต่อมาหลังจากสิ้นกำหนดเวลาเช่าแล้วเมื่อข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ได้ความว่า โจทก์มีหนังสือบอกเลิกการเช่าไปยังจำเลยในวันที่ 5 มกราคม 2531ซึ่งเป็นวันครบกำหนดการเช่า แสดงให้เห็นเจตนาของโจทก์ว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยเช่าต่อไป นับแต่วันครบกำหนดการเช่าแล้วและก็ได้ความว่าหนังสือดังกล่าวนั้นจำเลยได้รับแล้ว พฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่า โจทก์ได้ทักท้วงในการที่จำเลยจะอยู่ในที่เช่าต่อไปดังนี้การที่จำเลยอยู่ในที่เช่าต่อมาภายหลังสัญญาเช่าครบกำหนดแล้วจึงไม่ใช่การเช่ากันใหม่โดยไม่มีกำหนดเวลาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 570 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องโดยไม่จำต้องบอกเลิกการเช่าตามมาตรา 566 อีก
พิพากษายืน

Share