คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2367/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ให้กลับมาเป็นของโจทก์และจำเลยที่ 1 มีกรรมสิทธิ์ร่วมกันคนละครึ่ง ให้แบ่งที่ดินดังกล่าวให้โจทก์กับจำเลยที่ 1 คนละเท่าๆกัน หากตกลงแบ่งกันไม่ได้ให้ประมูลระหว่างกันเอง หรือขายทอดตลาดเอาเงินมาแบ่งกันคนละครึ่ง หากจำเลยทั้งสองไม่สามารถจัดการให้เป็นไปตามข้อแรกได้ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายหรือค่าที่ดินให้โจทก์150,000บาท ดังนี้ การบังคับคดีต้องเป็นไปตามลำดับที่ศาลได้พิพากษาไว้ คือต้องแบ่งที่ดินพิพาทกันระหว่างโจทก์และจำเลยที่1 ผู้เป็นเจ้าของรวมเสียก่อน ถ้าการแบ่งตกลงกันไม่ได้ก็เอาที่ดินออกขายแบ่งเงินกันตามส่วน จำเลยที่ 1 จะไม่ยอมแบ่งที่ดินให้โจทก์โดยจะเลือกใช้ค่าเสียหายแทนหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 แล้วแบ่งที่ดินให้โจทก์กับจำเลยที่ 1 คนละส่วน หากตกลงแบ่งกัน ไม่ได้ให้ประมูลกันเองหรือขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งกันตามส่วนหากจำเลยทั้งสองไม่จัดการดังกล่าวก็ให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหายหรือค่าที่ดินแก่โจทก์ 300,000 บาท

จำเลยทั้งสองให้การว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียว

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้ง 2 โฉนดดังกล่าวกลับมาเป็นของโจทก์และจำเลยที่ 1 มีกรรมสิทธิ์ร่วมกันคนละครึ่ง และให้แบ่งที่ดินทั้งสองแปลงให้โจทก์และจำเลยที่ 1 คนละเท่า ๆ กัน หากตกลงแบ่งกันไม่ได้ให้ประมูลระหว่างกันเองหรือขายทอดตลาดเอาเงินมาแบ่งกันคนละครึ่ง หากจำเลยทั้งสองไม่สามารถจัดการให้เป็นไปตามข้อแรกได้ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายหรือค่าที่ดินให้โจทก์ 150,000 บาท และให้ร่วมกันใช้ดอกเบี้ยให้โจทก์ร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ คดีถึงที่สุดและศาลได้ออกคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาแล้ว

จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องว่า สภาพไม่เปิดช่องให้แบ่งที่ดินแก่โจทก์และจำเลยที่ 1 คนละเท่า ๆ กันได้ เพราะจำเลยที่ 2 ได้ลงทุนในที่ดินไว้มากที่ดินจำนองไว้กับธนาคาร และมีสิ่งปลูกสร้างของจำเลยทั้งสองและบุคคลภายนอกจะทำให้บุคคลภายนอกเสียหาย จำเลยทั้งสองจึงขอร่วมกันใช้ค่าเสียหาย 150,000บาทพร้อมดอกเบี้ย ค่าฤชาธรรมเนียม ค่าทนายความตามคำพิพากษาทั้งหมดแก่โจทก์ ขอให้งดการบังคับคดี ศาลชั้นต้นสั่งว่าถ้าจำเลยชำระเงิน 150,000บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องถึงวันชำระเงินเสร็จให้งดการขายทอดตลาดทรัพย์ จำเลยจึงได้นำเงินมาชำระตามคำสั่งของศาลชั้นต้น

ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาโดยให้โจทก์มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทครึ่งหนึ่งและให้จำเลยที่ 2รื้อถอนโรงสีออกไปจากที่ดิน

ศาลชั้นต้นสั่งว่า ตามคำขอท้ายฟ้องโจทก์ให้จำเลยเลือกปฏิบัติตามข้อ 1หรือข้อ 2 ได้ จำเลยนำเงินมาชำระตามข้อ 2 ถูกต้องแล้ว

โจทก์อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยทั้งสองเลือกปฏิบัติตามคำพิพากษาอันดับหลัง โดยโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอมด้วยย่อมไม่ถูกต้องตามคำพิพากษา เพราะจำเลยทั้งสองมิได้อยู่ในฐานะเป็นผู้มีสิทธิเลือกชำระหนี้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 198 ข้ออ้างตามคำร้องของจำเลยไม่เป็นเหตุเพียงพอที่จะให้ศาลอนุญาตให้จำเลยเลือกปฏิบัติตามคำพิพากษาอันดับหลังพิพากษากลับ ให้บังคับคดีเป็นลำดับขั้นตอนก่อนหลังตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การบังคับคดีต้องเป็นไปตามลำดับที่ศาลได้พิพากษาไว้ คือต้องแบ่งที่ดินพิพาทกันระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 ผู้เป็นเจ้าของรวมเสียก่อนถ้าการแบ่งไม่ตกลงกันได้ก็เอาที่ดินออกขายเอาเงินแบ่งกันตามส่วนจำเลยที่ 1จะไม่ยอมแบ่งที่ดินให้โจทก์โดยจะเลือกใช้ค่าเสียหายแทนหาได้ไม่ เพราะเหตุที่อ้างตามคำร้องและฎีกายังไม่พอให้ถือว่าสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้บังคับตามคำพิพากษาในลำดับแรกได้ ทั้งยังไม่ปรากฏว่ามีเหตุขัดข้องในการแบ่งหรือการขายด้วย

พิพากษายืน

Share