แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน มีวัตถุประสงค์ในอันที่จะก่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ลูกจ้างเป็นการคุ้มครองและอำนวยประโยชน์แก่ลูกจ้างจึงเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนสัญญาประนีประนอมยอมความเกี่ยวกับค่าชดเชยซึ่งทำขึ้นผิดแผกแตกต่างไปจากประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานจึงเป็นโมฆะใช้บังคับมิได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๒๔ จำเลยเลิกจ้างโจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ซึ่งเป็นลูกจ้างประจำ เพราะจำเลยปิดกิจการ จำเลยจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ที่ ๑ เป็นเงิน ๑๒,๐๐๐ บาท ขาดไป ๒๔,๐๐๐ บาท จ่ายให้โจทก์ที่ ๒ เป็นเงิน ๓,๐๐๐ บาท ขาดไป ๒,๕๘๐ บาท จ่ายให้โจทก์ที่ ๓ เป็นเงิน ๕,๑๗๐ บาท ขาดไป ๖,๖๓๐ บาท ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชยส่วนที่ขาดแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โรงงานผลิตเหล็กของจำเลยประสบการขาดทุนไม่สามารถผลิตเหล็กต่อไปได้ จำเลยจึงต้องปิดโรงงานตั้งแต่วันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๒๔ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดข้อพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยขึ้น แต่โจทก์จำเลยได้ตกลงระงับข้อพิพาทโดยโจทก์ทั้งสามยอมรับค่าชดเชยที่จำเลยเสนอให้ ปรากฏตามบันทึกการจ่ายค่าชดเชยลงวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๒๔ ไว้ข้อพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยจึงระงับไปด้วยการประนีประนอมกันขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางงดสืบพยานและวินิจฉัยว่าสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยเกี่ยวกับค่าชดเชยเป็นโมฆะ พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยเพิ่มแก่โจทก์ที่ ๑ เป็นเงิน ๒๔,๐๐๐ บาท โจทก์ที่ ๒ เป็นเงิน ๒,๕๘๐ บาท และโจทก์ที่ ๓ เป็นเงิน ๖,๖๓๐ บาท
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๑๕ ข้อ ๔๖ ซึ่งแก้ไขโดยประกาศกระทรวงมหาดไทย (ฉบับที่ ๖) ลงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๒๑ ข้อ ๒ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่โจทก์ทั้งสามถูกเลิกจ้างนั้นมีวัตถุประสงค์ในอันที่จะก่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ลูกจ้าง เป็นการคุ้มครองและอำนวยประโยชน์แก่ลูกจ้าง เพราะลูกจ้างย่อมมีฐานะในทางเศรษฐกิจด้อยกว่านายจ้าง หากปล่อยให้มีการทำความตกลงเกี่ยวกับค่าชดเชยกันได้ฐานะทางเศรษฐกิจอันเสียเปรียบของลูกจ้างก็อาจเป็นเหตุโน้มน้าวให้ลูกจ้างจำต้องยอมรับข้อเสนอที่ไม่เป็นธรรมของนายจ้าง เพื่อแก้ไขความเดือดร้อนเฉพาะหน้าของตน เป็นเหตุของความระส่ำระสายและเกิดความไม่สงบสุขในบ้านเมือง ประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวจึงเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน สัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งทำขึ้นผิดแผกแตกต่างไปจากประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวจึงเป็นโมฆะใช้บังคับมิได้แม้จำเลยจะอ้างในอุทธรณ์ว่าฝ่ายตนต้องได้ความเดือดร้อนยิ่งกว่าฝ่ายลูกจ้างเพราะต้องประสบกับการหมดเนื้อหมดตัวก็เป็นปัญหาในชั้นบังคับคดีว่า จำเลยจะสามารถชำระหนี้ให้โจทก์ได้เพียงใดหรือไม่ซึ่งไม่เป็นเหตุให้หลักกฎหมายในข้อนี้ต้องเปลี่ยนแปลงไป
พิพากษายืน