แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความว่า จำเลยตกลงเช่าซื้อทรัพย์สินของโจทก์ที่โจทก์จำนองไว้ต่อธนาคาร ถ้าจำเลยผิดสัญญาไม่ชำระเงินให้โจทก์ โจทก์มีสิทธิ์เรียกร้องค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากการผิดสัญญาได้ ดังนี้ เมื่อสัญญาประนีประนอมยอมความที่มีกล่าวถึงเรื่องไถ่ถอนจำนอง ก็ไม่มีข้อตกลงให้จำเลยรับผิดในเรื่องดอกเบี้ยของหนี้จำนองแต่อย่างใด โจทก์จึงไม่มีสิทธิ์เรียกร้องให้จำเลยรับผิดชำระดอกเบี้ยหนี้จำนองทรัพย์สินที่จำเลยเช่าซื้อจากโจทก์และโจทก์ต้องเสียให้ธนาคารในระหว่างจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองทำสัญญาเช่าซื้อโรงภาพยนตร์พร้อมทั้งที่ดินกับเครื่องอุปกรณ์ที่ใช้ในกิจการภาพยนตร์ของโจทก์ แล้วผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่าซื้อ จำเลยให้การว่าจำเลยไม่ได้ผิดสัญญาเช่าซื้อ ต่อมาโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุด
ในระหว่างระยะเวลาที่จะต้องปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นโต้เถียงกันอีกว่าฝ่ายหนึ่งผิดสัญญาดังกล่าว
วันนัดพร้อม โจทก์แถลงว่าจำเลยกู้เงินจากธนาคารได้แล้วแต่ไม่นำเงินมาชำระให้โจทก์ โจทก์ต้องเสียดอกเบี้ยให้ธนาคารเดือนละ ๓๐,๓๓๐.๒๐ บาท (ปรากฏว่าก่อนทำสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น โจทก์จำนองทรัพย์สินที่เช่าซื้อไว้ต่อธนาคาร) การที่จำเลยไม่ชำระหนี้ ทำให้โจทก์ต้องรับภาระในเรื่องดอกเบี้ยตลอดมานับตั้งแต่จำเลยผิดนัดไม่ชำระเงินงวดที่ ๒ ขอให้จำเลยรับผิดชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยแถลงว่า เรื่องดอกเบี้ยตามที่โจทก์เรียกร้องนั้นเป็นเรื่องที่โจทก์ผิดเอง จำเลยไม่ต้องรับผิด
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยผิดนัด แต่โจทก์มีส่วนผิดอยู่ด้วย โจทก์ย่อมมีส่วนรับผิดในเรื่องดอกเบี้ย ดอกเบี้ยที่โจทก์เสียไปตั้งแต่วันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๗ ถึงวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๑๗ นั้น ให้โจทก์และจำเลยรับผิดคนละครึ่ง ส่วนดอกเบี้ยหลังจากวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๑๗ จะได้สั่งต่อไป ปรากฏตามคำสั่งศาลลงวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๑๗
จำเลยยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งศาลดังกล่าว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลย ปรากฏตามคำสั่งศาลลงวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๑๗
ในวันเดียวกันนั้น จำเลยแถลงว่าได้ชำระหนี้และดอกเบี้ย (๙๙,๔๕๘ บาท) ตามคำสั่งศาลให้โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว โจทก์แถลงรับว่าเป็นความจริงและแถลงว่าได้จัดการไถ่ถอนจำนองที่โจทก์จำนองที่ดินโฉนดที่ ๑๒๗๖๐ กับโฉนดที่ ๑๒๗๕๗ และโอนใส่ชื่อจำเลยเรียบร้อยแล้ว คู่ความแถลงร่วมกันว่าได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้วครบถ้วน
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวของศาลชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้น ให้โจทก์คืนดอกเบี้ย ๙๙,๔๕๘ บาทแก่จำเลย
โจทก์ฎีกา
วินิจฉัยว่าคดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิ์เรียกดอกเบี้ยจากจำเลยหรือไม่ โจทก์อ้างว่าโจทก์มีสิทธิ์เรียกร้องดอกเบี้ยจากจำเลยตามกฎหมายและตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ ๓ นั้น ปรากฏว่า สัญญาประนีประนอมยอมความข้อ ๓ มีข้อความดังนี้ คือ “โฉนดที่ดินเลขที่ ๑๒๗๖๐ พร้อมด้วยโรงภาพยนตร์และเครื่องอุปกรณ์ต่าง ๆ ของโรงภาพยนตร์ตามสัญญาเช่าซื้อท้ายฟ้อง นายประเสริฐ และโจทก์ในคดีแพ่งดำที่ ๖๙, ๑๐๓/๒๕๑๖ ได้ตกลงซื้อในราคาสามล้านสามแสนบาทถ้วน เงินจำนวนนี้จะผ่อนชำระให้เป็นงวด ๆ งวดละสองแสนบาท งวดแรกชำระไม่เกินวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๑๗ และงวดต่อ ๆ ไป จะชำระให้เดือนละครั้งจนเสร็จสิ้นเงินจำนวนสามล้านสามแสนบาทถ้วน แต่ต้องไม่เกินระยะเวลา ๖ เดือนนับแต่วันนี้ หากผิดนัดงวดใดงวดหนึ่งให้ถือว่าผิดสัญญา และถ้าไม่ชำระให้เสร็จสิ้นภายใน ๖ เดือนก็ให้ถือว่าผิดสัญญาเช่นเดียวกัน เงินที่ได้ชำระไปแล้วให้ถือว่าเป็นค่าเช่าตกได้แก่นายประพันธ์ และนายประพันธ์รวมทั้งบริษัทสยามรามา จำกัด มีสิทธิ์ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดียึดเอาที่ดินพร้อมด้วยโรงภาพยนตร์และอุปกรณ์ต่าง ๆ ของโรงภาพยนตร์ตามสัญญาเช่าซื้อท้ายฟ้องมาเป็นของนายประพันธ์และบริษัทสยามรามา จำกัด และมีสิทธิ์เรียกร้องค่าเสียหายทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้ในกรณีที่มีการผิดสัญญานี้” เห็นได้ว่า ตามข้อตกลงดังกล่าวกรณีที่จำเลยผิดสัญญาไม่ชำระเงินให้แก่โจทก์ โจทก์มีสิทธิ์เรียกร้องค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากการผิดสัญญานั้นได้ ตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ ๖ ที่มีกล่าวถึงเรื่องไถ่ถอนจำนอง ก็ไม่มีข้อตกลงให้จำเลยรับผิดในเรื่องดอกเบี้ยของหนี้จำนองแต่อย่างใด ถ้าโจทก์ประสงค์จะให้จำเลยรับผิดในเรื่องดอกเบี้ยของหนี้จำนอง ก็น่าจะมีข้อตกลงกันไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น ทั้งกรณีก็ไม่เข้าตามตัวบทกฎหมายที่โจทก์อ้าง ข้ออ้างของโจทก์ฟังไม่ได้ ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ไม่มีสิทธิ์เรียกดอกเบี้ยจากจำเลย
พิพากษายืน.