แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีเพราะสิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับศาลอุทธรณ์พิพากษายืน กรณีถือได้ว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220 คดีจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกา จึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ โจทก์เห็นว่า การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่ง ของศาลชั้นต้นที่ให้จำหน่ายคดี ถือไม่ได้ว่าศาลชั้นต้นและ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ คดีจึงไม่ต้องห้ามมิให้คู่ความ ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 โปรดมี คำสั่งรับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยทั้งสองได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง ระหว่างพิจารณา จำเลยทั้งสองขอถอนคำให้การปฏิเสธและ ให้การรับสารภาพตามฟ้อง และนำเงินสดจำนวน 253,946 บาท เท่าจำนวนที่ระบุไว้ในเช็คพิพาทมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ โจทก์แถลงไม่ขอรับเงินดังกล่าว จำเลยทั้งสองจึงแถลงขอวางเงิน จำนวนดังกล่าวต่อศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยทั้งสองได้ชำระเงินเต็มจำนวน ตามเช็คพิพาท ทำให้หนี้ตามเช็คพิพาทสิ้นผลผูกพัน ถือว่า คดีอาญาเลิกกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7 ซึ่งทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(3) ให้จำหน่ายคดีจากสารบบความ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 112) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 115)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าคดีนี้เป็นเรื่องศาลชั้นต้น สั่งจำหน่ายคดีโดยฟังว่าสิทธินำคดีมาฟ้องระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(3) เพราะจำเลยได้ชำระเงินตามเช็คให้แก่โจทก์แล้ว ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนดังนี้หาใช่กรณีที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ไม่ จะนำ บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 มาปรับแก่กรณีหาได้ไม่ จึงให้รับฎีกาโจทก์ไว้พิจารณาให้ศาลชั้นต้น ดำเนินการต่อไป