คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1052/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองบังอาจร่วมกันลักเอาเงินสดจำนวน 1,000 บาท ของ ส. ไปโดยทุจริตโดยใช้กุญแจปลอมไขลิ้นชักโต๊ะเก็บเงินแล้วลักเอาทรัพย์ดังกล่าวไปแต่มิได้ระบุสถานที่เกิดเหตุหรือรายละเอียดที่เกี่ยวกับสถานที่เกิดเหตุพอสมควรที่จะให้จำเลยเข้าใจได้ว่าถูกกล่าวหาว่าลักทรัพย์ ณ สถานที่แห่งใด ย่อมเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2517 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองบังอาจร่วมกันลักเอาเงินสดจำนวน 1,000 บาท ของนายสมไปโดยทุจริต โดยจำเลยใช้กุญแจปลอมไขลิ้นชักโต๊ะเก็บเงินแล้วลักเอาทรัพย์ดังกล่าวไป ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(7) และให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 1,000 บาทแก่เจ้าทรัพย์

จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(7) จำคุกคนละ 2 ปี จำเลยรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 1 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 1,000 บาท แก่เจ้าทรัพย์

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ขอให้ลงโทษสถานเบา และว่าฟ้องของโจทก์ไม่ได้ระบุสถานที่เกิดเหตุ เป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) พิพากษายกฟ้อง

โจทก์ฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว เห็นว่าคดีไม่จำเป็นต้องฟังคำแถลงการณ์ด้วยวาจาตามที่โจทก์ขอ จึงให้งด คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองบังอาจร่วมกันลักเอาเงินสดจำนวน 1,000 บาท ของนายสมไปโดยทุจริตโดยใช้กุญแจปลอมไขลิ้นชักโต๊ะเก็บเงินแล้วลักเอาทรัพย์ดังกล่าวไป แต่มิได้ระบุสถานที่เกิดเหตุหรือรายละเอียดที่เกี่ยวกับสถานที่เกิดเหตุ พอสมควรที่จะให้จำเลยเข้าใจได้ว่า ถูกกล่าวหาว่าลักทรัพย์ ณ สถานที่แห่งใด ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)

พิพากษายืน

Share