แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ห้องพิพาทและที่ดินเป็นของจำเลยที่ 1 สามีโจทก์ที่1เป็นแต่เพียงผู้เช่าโดยมีโจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นภรรยาและบุตรเป็นบริวาร จำเลยที่ 1 เคยฟ้องขับไล่โจทก์ที่ 1 และสามีออกจากห้องพิพาท ทนายของสามีโจทก์ที่ 1 แถลงต่อศาลว่าผู้เช่ารับว่าจะไม่ไปเกี่ยวข้องกับห้องพิพาทอีกต่อไป ดังนี้โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นบริวารจึงไม่มีสิทธิอันใดในห้องพิพาทการที่โจทก์ทั้งสองเข้าอยู่ในห้องต่อไปจึงเป็นการเข้าอยู่โดยละเมิด ไม่มีสิทธิครอบครอง และไม่มีการครอบครองตามความในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 ฉะนั้นความผิดฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ต่อห้องพิพาท จึงไม่อาจเกิดแก่จำเลยซึ่งบุกรุกเข้าไปรื้อห้องพิพาทได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกอีก ๖ คนมีปืน มีด ฯลฯ ติดตัวไปร่วมกันบุกรุกเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ห้องเลขที่ ๔๘๙/๑๐ อันเป็นอาคารเก็บรักษาทรัพย์สินของโจทก์ทั้งสองโดยไม่มีเหตุอันสมควร เพื่อที่จำเลยกับพวกจะเข้าไปรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวของโจทก์โดยปกติสุข และเพื่อจำเลยกับพวกจะถือเอาอาคารและที่ดินปลูกห้องดังกล่าวไปเป็นของจำเลยด้วยวิธีการอันผิดกฎหมาย และจำเลยกับพวกได้ใช้อาวุธดังกล่าวข้างต้นงัดรื้อ ทำลายอาคารห้องเลขที่ ๔๘๙/๑๐ของโจทก์ ราคา ๗,๐๐๐ บาท จนเสื่อมค่า ไร้ประโยชน์ ไม่สามารถใช้เป็นอาคารเก็บรักษาทรัพย์สินได้ต่อไป ทำให้ทรัพย์สินของโจทก์ในห้องดังกล่าวเสียหาย คือ ไข่เค็มพอก ๒,๐๐๐ ฟอง ราคา ๑,๒๐๐ บาท ฯลฯรวมราคา ๘,๕๐๐ บาท และในระหว่างที่จำเลยกับพวกร่วมกันบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ดังกล่าว จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ได้ร่วมกันลักเอาสังกะสี๑๒ แผ่น ราคา ๑๔๐ บาทของโจทก์ที่ ๒ ไปด้วย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๒, ๓๖๓, ๓๖๔, ๓๖๕, ๓๕๘, ๓๓๕ และ ๘๓
ไต่สวนมูลฟ้องแล้ว ศาลชั้นต้นสั่งประทับฟ้องในข้อหาฐานบุกรุกทำให้เสียทรัพย์ สำหรับจำเลยทุกคน กับข้อหาฐานลักทรัพย์สำหรับจำเลย ที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ด้วย
จำเลยทุกคนให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ขณะเกิดเหตุที่ดินและอาคารพิพาทเป็นของจำเลยที่ ๑ ฉะนั้น ความผิดฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ต่ออาคารเลขที่ ๔๘๙/๑๐ จึงไม่อาจเกิดแก่จำเลยได้ ส่วนข้อหาฐานทำให้เสียทรัพย์ต่อไข่เค็ม ฯลฯ ฟังไม่ได้ว่าเสียหายจริง จำเลยที่ ๒ ขนสังกะสีไปโดยไม่มีเจตนาทุจริตจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของห้องพิพาทและที่ดินโจทก์ที่ ๑ เป็นผู้เช่าและเป็นผู้ครอบครองห้องพิพาทขณะเกิดเหตุโจทก์ที่ ๑ กับจำเลยที่ ๑ มีข้อโต้แย้งกันในเรื่องสิทธิในห้องพิพาทการที่จำเลยทุกคนร่วมกันรื้อห้องพิพาทจึงเป็นความผิดฐานบุกรุกโดยนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๑/๒๕๑๒ จำเลยมีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ คือ ไข่เค็ม ฯลฯ แต่จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ช่วยกันขนสังกะสีซึ่งวางไว้เกะกะไปเก็บโดยไม่มีเจตนาทุจริต พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทุกคนมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๒, ๓๖๕, ๓๕๘, ๘๓วางโทษตามมาตรา ๓๖๕ ซึ่งเป็นบทหนัก ฯลฯ นอกจากที่แก้ ยืน
โจทก์ฎีกามิให้รอการลงโทษ จำเลยฎีกาว่ามิได้กระทำความผิด
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อหาฐานลักทรัพย์ยุติแล้ว คงวินิจฉัยเฉพาะข้อหาฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ ศาลฎีกาฟังว่าจำเลยที่ ๑เป็นเจ้าของห้องพิพาทและที่ดิน นายต๋าสามีโจทก์ที่ ๑ เป็นแต่เพียงผู้เช่าโจทก์ที่ ๑ และโจทก์ ที่ ๒ เป็นบริวารของนายต๋า เมื่อจำเลยที่ ๑ ฟ้องขับไล่นายต๋า นางผิน บิดามารดาโจทก์ที่ ๒ ออกจากห้องพิพาทเลขที่ ๔๘๙/๑๐ทนายของนายต๋าแถลงว่าจำเลยรับว่าจะไม่ไปเกี่ยวข้องกับห้องเช่าที่พิพาทของโจทก์อีกต่อไป ดังปรากฏตามสำเนารายงานกระบวนพิจารณาในคดีแพ่งดำที่ ๒๓๕/๒๕๑๐ ของศาลชั้นต้นแล้ววินิจฉัยว่าทนายของนายต๋าได้แถลงรับในคดีแพ่งดำที่ ๒๓๕/๒๕๑๐ ว่า จำเลยรับว่าจะไม่ไปเกี่ยวข้องกับห้องพิพาทอีกต่อไป การที่นายต๋าผู้เช่ายอมออกจากห้องพิพาทดังกล่าวแล้วนางผินโจทก์ที่ ๑ ซึ่งเป็นภรรยาของนายต๋า และโจทก์ที่ ๒ ซึ่งเป็นบุตรจึงไม่มีสิทธิอันใดในห้องพิพาทที่โจทก์ทั้งสองเข้าไปอยู่ในห้องพิพาทหลังจากนายต๋ารับว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับห้องพิพาทอีกต่อไปนั้นจึงเป็นการเข้าไปอยู่โดยละเมิด ไม่มีสิทธิครอบครองและไม่มีการครอบครองตามความในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๒ความผิดฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ต่อห้องพิพาทจึงไม่อาจเกิดแก่จำเลยได้
ส่วนข้อหาฐานทำให้เสียทรัพย์อื่น ๆ นอกจากห้องพิพาทวินิจฉัยว่ายังไม่อาจฟังได้แน่ชัดว่าทรัพย์ในห้องพิพาทได้เสียหายตามฟ้อง
พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์