คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2341/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ซื้อที่ดินและตึกแถวพิพาทมาทำเป็นสำนักงานตรวจสอบบัญชี โดยชำระราคาบางส่วนและกู้เงินจากธนาคารบางส่วน โดยนำที่ดินและตึกแถวพิพาทจำนองไว้แก่ธนาคารแล้วผ่อนชำระต้นเงินและดอกเบี้ยแก่ธนาคาร โจทก์มิได้ประกอบการค้าที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง การที่โจทก์ได้มาซึ่งที่ดินและตึกแถวพิพาทแล้วขายไป จึงมิใช่การขายทรัพย์สินซึ่งได้ มาโดย มุ่งในทางการค้าหรือหากำไร และไม่ได้ขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร โจทก์จึงไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีการค้า

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เจ้าพนักงานประเมินภาษีของจำเลยที่ ๑ ทำการตรวจสอบการชำระภาษีอากรของโจทก์ในปี พ.ศ. ๒๕๒๔ แล้วประเมินเรียกเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและเงินเพิ่มรวม ๕๓๗,๙๑๕ บาท กับภาษีการค้าและเงินเพิ่มรวม ๒๕๑,๐๒๐ บาท อ้างว่าในปี พ.ศ. ๒๕๒๔ โจทก์ขายที่ดินรวม ๒ โฉนด พร้อมด้วยตึกแถวสามชั้น ๓ คูหา ในราคา๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นการมุ่งในทางการค้าหรือหากำไร โจทก์อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยให้โจทก์เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและเงินเพิ่มรวม ๒๕๐,๘๘๖ บาท กับภาษีการค้า เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มรวม ๑๔๓,๒๒๐ บาท โจทก์ซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๒ เพื่อใช้อยู่อาศัย และใช้เป็นสำนักงาน ในราคา ๑,๓๘๐,๐๐๐ บาท และชำระราคาบางส่วน โดยการจำนองและผ่อนชำระต่อธนาคารนครหลวงไทย จำกัดแต่จดทะเบียนซื้อขายไว้เพียง ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท โจทก์ได้ต่อเติมตึกแถวเป็น ๔ ชั้น สิ้นค่าใช้จ่ายอีก ๑๕๐,๐๐๐ บาท ต่อมาโจทก์มีภาระในการชำระเงินจำนอง และมีรายได้จากสำนักงานตรวจบัญชีไม่ดีจึงขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไปในราคา ๒ ล้านบาท โดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไร โจทก์ได้แสดงรายการยกเว้นภาษีการขายอสังหาริมทรัพย์ไว้ในแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีพ.ศ. ๒๕๒๔ แล้ว กรณีของโจทก์ไม่ต้องเสียภาษีการค้า เพราะมิได้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นปกติการค้าและไม่ใช่กรณีที่จะต้องขออนุญาตค้าที่ดินจากกรมที่ดิน หากเป็นการซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างด้วยวิธีผ่อนชำระกับธนาคาร ซ่อมแซมต่อเติมเป็นตึกแถวเพียง ๒ คูหา และทำเลตั้งอยู่ในซอย ราคาที่ซื้อขายก็เป็นราคาปกติในท้องตลาด ไม่มีลักษณะเก็งกำไร การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จึงไม่ชอบ ขอให้เพิกถอนคำสั่งประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า โจทก์ซื้อที่ดินพร้อมตึกแถวที่ซอยจินดาถวิล เมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๒๒ ในราคา ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาทและขายไปในราคา ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท เมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๒๔โดยที่โจทก์ไม่เคยเข้าอยู่อาศัยและดำเนินกิจการใดในอาคารดังกล่าวเลย และเมื่อซื้อที่ดินพร้อมตึกแถวแล้ว โจทก์ทำงานประจำอยู่ที่บริษัทกรุงเทพประกันชีวิต จำกัด นอกจากนี้ โจทก์ประกอบธุรกิจซื้อขายที่ดินมาโดยตลอด กล่าวคือในปี พ.ศ. ๒๕๒๑ โจทก์ซื้อขายที่ดินโฉนดที่ ๕๗๗ และ ๒๗๙๒ เป็นเนื้อที่ ๒๖ ไร่ ซื้อขายที่ดินโฉนดที่๖๗๕๔ เนื้อที่ ๔๐๖ ตารางวา และขายบ้านเลขที่ ๑๖/๑ ซอยกิ่งจินดาถนนประดิพัทธ์ เขตพญาไท ในปี พ.ศ. ๒๕๒๔ โจทก์ซื้อบ้านทาวน์เฮ้าส์๒ หลัง และมีที่ดินที่ซอยสุขุมวิท ๑๐๓ เนื้อที่ ๑๐๖ ตารางวา เป็นพฤติการณ์ แสดงว่าโจทก์ดำเนินธุรกิจซื้อขายที่ดินเป็นปกติในทางการค้า การขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในคดีนี้ซื้อมาและขายไปในเวลาอันสั้น มีเจตนาเก็งกำไร กรณีของโจทก์ไม่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ตามมาตรา ๔๒ (๙) แห่งประมวลรัษฏากร ทั้งในการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้หักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เป็นจำนวนเงิน๑,๔๒๒,๐๐๐.๘๘ บาท ออกจากรายได้ เพื่อคำนวณภาษีเงินได้และภาษีการค้าให้แล้ว เป็นการให้ความเป็นธรรมแก่โจทก์ ที่โจทก์อ้างว่าซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นเงิน ๑,๓๘๐,๐๐๐ บาทก็ไม่มีหลักฐานสนับสนุน ส่วนการค้าอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลรัษฎากรนั้นก็ไม่มีบทบัญญัติตามประมวลรัษฎากรว่าจะต้องได้รับอนุญาตจากกรมที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน โจทก์ขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในคดีนี้โดยเป็นการค้าและมุ่งกำไร การประเมินภาษีและคำวินิจฉัยอุทธรณ์จึงถูกต้องแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ และที่ ๔ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความตามทางนำสืบของโจทก์ซึ่งจำเลยมิได้นำสืบหักล้างเป็นอย่างอื่นว่า โจทก์ซื้อที่ดินและตึกแถวพิพาทมาทำเป็นสำนักงานตรวจสอบบัญชี และในการซื้อที่ดินและตึกแถวพิพาท โจทก์ได้ชำระราคาบางส่วนและกู้เงินจากธนาคารบางส่วน โดยเอาที่ดินและตึกแถวพิพาทจำนองไว้แก่ธนาคารเป็นจำนวนเงิน๙๕๒,๐๐๐ บาท แล้วผ่อนชำระต้นเงินและดอกเบี้ยแก่ธนาคารเดือนละ๑๓,๖๕๙ บาท ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.๔, จ.๕, จ.๙, จ.๒๐ และ จ.๒๑จากข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงมีเหตุผลให้เชื่อได้ตามที่ดจทก์นำสืบว่าโจทก์ซื้อที่ดินและตึกแถวพิพาทก็โดยประสงค์จะตั้งเป็นสำนักงานตรวจสอบบัญชีเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อมุ่งในทางการค้าหรือเพื่อหากำไรดังนั้น การขายที่ดินและตึกแถวพิพาทจึงมิใช่เป็นการขายทรัพย์สินที่ได้มาโดยมุ่งในทางการค้าหรือหากำไร ส่วนที่ว่าก่อนหน้านี้โจทก์เคยขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างแปลงอื่น ๆ อีกนั้นก็ได้ความจากนายภาณุทัต รัตโนคม พยานของฝ่ายจำเลยซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษีว่าสำนักงานภาษีสรรพากรเขตพื้นที่ ๑ ก็ได้เรียกโจทก์ไปทำการตรวจสอบเช่นเดียวกันกับคดีนี้มาก่อนแล้ว ผลการตรวจสอบปรากฏว่าการขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ในครั้งก่อน ๆ มิได้ขายเพื่อการค้าหรือมุ่งหากำไร อันแสดงว่าโจทก์มิได้ประกอบการค้าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแต่อย่างใด ดังนั้นข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าการที่โจทก์ได้มาซึ่งที่ดินและตึกแถวพิพาทและขายไป มิใช่เป็นการขายทรัพย์สินซึ่งได้มาโดยมุ่งในทางการค้าหรือหากำไร และไม่ได้ขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ ๑ และที่ ๔ ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share