แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่าคดีนี้ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของจำเลยทุกข้อล้วนแต่คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เรื่องฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายหรือเป็นคนนั่งซ้อนท้าย ซึ่งการรับฟังพยานดังกล่าวว่าน่าเชื่อหรือไม่นั้นย่อมเป็นดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกาของจำเลยจำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยทุกข้อเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าบัตรตรวจโรคของโรงพยาบาลตรัง กระทรวงสาธารณสุขเอกสารหมาย ล.1, ล.2 ซึ่งระบุว่าผู้ตายเป็นผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ชนกับรถยนต์บรรทุกเล็ก โดยมีจำเลยเป็นผู้ซ้อนท้ายเป็นเอกสารราชการหรือเอกสารมหาชนหรือไม่ หากศาลฟังว่าเป็นเอกสารมหาชนแล้วศาลก็ต้องรับฟังว่าข้อความในเอกสารถูกต้องแท้จริง การที่ศาลไม่รับฟังว่าถูกต้องแท้จริงเป็นการฟังข้อเท็จจริงผิดไปจากหลักกฎหมายวิธีพิจารณาความ จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องพิสูจน์ให้สิ้นสงสัย มิใช่หน้าที่จำเลย และศาลจะรับฟังพยานบอกเล่ามาลงโทษจำเลยไม่ได้ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 65)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291,91 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43,157 ขณะกระทำความผิดจำเลยอายุ 18 ปี รู้รับผิดชอบดีแล้วไม่สมควรลดมาตราส่วนโทษให้ ความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายกับฐานขับรถโดยประมาทน่าหวาดเสียวเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 อันเป็นบทหนัก ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 จำคุก 4 ปี ข้อหาอื่นให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291,90 ให้ลงโทษจำเลยโดยลดมาตราส่วนโทษหนึ่งในสามแล้วจำคุก 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 64)จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 65)
คำสั่ง
คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของจำเลยล้วนเป็นปัญหาข้อเท็จจริง หาใช่ฎีกาข้อกฎหมายดังจำเลยกล่าวในคำร้องไม่ที่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของจำเลยนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง