แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างอาคาร คนงานก่อสร้างได้กระทำการโดยประมาท เป็นเหตุให้ทรัพย์สินของโจทก์เสียหาย จำเลยต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดที่เกิดขึ้นด้วย คนงานซึ่งถือว่าเป็นลูกจ้างของจำเลยในทางการที่จ้างได้ทำโดยประมาท จะอ้างว่าคนงานของผู้รับเหมาช่วงเป็นผู้กระทำเพื่อให้พ้นความรับผิดหาได้ไม่
หุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดถูกฟ้องให้รับผิดเป็นส่วนตัวได้ไม่เป็นฟ้องผิดตัว
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 222,300 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า นางสาวเจษฎาสงวนดีกุล ได้ทำสัญญาว่าจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัด บางกอกดีไซน์ โดยระบุว่าจำเลยนี้เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ให้ปลูกสร้างตึกแถว ปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายสัญญาจ้างเอกสารหมาย จ.13 จำเลยได้ลงชื่อท้ายสัญญาในช่องผู้รับจ้างจึงแสดงว่าอำนาจของหุ้นส่วนผู้จัดการซึ่งเป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิด ย่อมรับผิดเป็นส่วนตัวได้ด้วย เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะส่วนตัวให้รับผิด ก็ย่อมฟ้องได้ไม่เป็นการฟ้องผิดตัว นอกจากนี้พฤติการณ์ที่จำเลยแสดงออกเช่นการทำสัญญาตามเอกสารหมาย จ.13 โดยมิได้มีตราของห้างประทับไว้ การรับเงินทุกงวดจากนางสาวเจษฎาผู้ว่าจ้าง จำเลยเป็นผู้ลงชื่อรับเงินแต่ผู้เดียวทุกงวด โดยมิได้มีตราของห้างประทับไว้เช่นกัน ปรากฏหลักฐานอยู่ด้านหลังของสัญญาจ้างเอกสารหมาย จ.13 อีกทั้งจำเลยเองก็เบิกความรับว่าจำเลยไปตรวจสอบดูแลงานก่อสร้างเป็นครั้งคราว และได้ความจากนางเทียมตา วนโกสุม พยานโจทก์เจ้าของร้านเสริมสวยซึ่งตั้งอยู่ข้างเคียงที่เกิดเหตุได้เบิกความว่า นางสาวสุรัตน์ ภิรมย์ ลูกจ้างของนางเทียมตาได้รับบาดเจ็บเพราะถูกสายไฟฟ้าที่ขึงไว้ขาดตกลงมาถูกร่างกายแล้วไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล นางเทียมตาได้ไปเจรจากับจำเลย ในที่สุดจำเลยยอมออกค่ารักษาพยาบาลให้ทั้งหมด กับได้ความจากนายนิรันดร์เล่ห์วิสุทธิ์ พยานโจทก์ผู้มีหน้าที่ดูแลรักษาสายไฟฟ้าบริเวณท้องที่เกิดเหตุขององค์การไฟฟ้านครหลวงได้เบิกความว่าเมื่อไปถึงที่เกิดเหตุได้สอบถามบรรดาคนงานว่าการก่อสร้างนี้เป็นของผู้ใด พวกคนงานตอบว่าเป็นของจำเลยนายสละ เอี่ยมอรุณ พยานโจทก์รับราชการตำแหน่งช่างก่อสร้างแผนกควบคุมอาคารเขตพระโขนงเบิกความว่าจำเลยเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างอาคารรายนี้ทั้งได้พบกับจำเลย 2-3 ครั้ง โดยจำเลยไปขอคำแนะนำจากนายสละบางประการเมื่อข้อเท็จจริงต่าง ๆ เป็นดังกล่าวมาโจทก์ย่อมฟ้องจำเลยในฐานะส่วนตัวได้ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องในข้อนี้ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
ส่วนประเด็นอื่นซึ่งศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยนั้น ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปเลยโดยไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ กล่าวคือ ในเรื่องความรับผิดนั้น แม้ว่าจำเลยจะนำสืบว่าได้ให้นายถนอม พลเยี่ยม รับเหมาช่วงถนน โดยจำเลยเป็นเพียงผู้ทำหน้าที่ตอกเข็มแต่อย่างเดียว ก็เห็นว่าการที่ผู้รับเหมาได้จ้างผู้อื่นต่อไปนั้นก็ยังต้องอยู่ในความรับผิดชอบของผู้รับเหมาอยู่นั่นเอง การที่คนงานก่อสร้างได้กระทำการไปโดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของโจทก์เสียหาย จำเลยจะอ้างว่าคนงานของผู้รับเหมาช่วงเป็นผู้กระทำ ย่อมฟังไม่ขึ้น เพราะการก่อสร้างอาคารหลังนี้จำเลยเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง จำเลยจะต้องรับผิดในผลแห่งความประมาทและความเสียหายที่เกิดขึ้น ทั้งข้อเท็จจริงฟังได้ว่าคนงานซึ่งถือว่าเป็นลูกจ้างของจำเลยในทางการที่จ้างได้กระทำไปโดยความประมาทจริง เพราะเหล็กเส้นเป็นสื่อไฟฟ้าเมื่อจะชักรอกผ่านสายไฟฟ้าย่อมต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษมิให้ไปถูกสายไฟฟ้าได้ แต่ปรากฏจากภาพถ่ายเอกสารหมาย จ.4 และจากคำเบิกความของนายกรองแก้ว เหยี่ยวซ้าย คนงานซึ่งเป็นพยานจำเลยว่าตนเองเป็นผู้ชักรอกเหล็กเส้นที่ชักรอกแกว่งไปถูกสายไฟฟ้า จึงเกิดช๊อตขึ้น ส่วนในเรื่องค่าเสียหายนั้น โจทก์สามารถนำสืบให้เห็นได้ว่าโจทก์เสียหายอย่างไรและมีรายการโดยละเอียดที่จะต้องซ่อมแซม จำเลยมิได้นำสืบหักล้างว่ารายการใดไม่ถูกต้องหรือราคาสูงเกินไป แสดงว่าโจทก์ได้คำนวณค่าเสียหายและเรียกร้องตรงกับความเป็นจริง ประเด็นต่าง ๆ เหล่านี้ ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยโดยละเอียดถี่ถ้วนดีแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์และฎีกา โดยกำหนดค่าทนายความทั้งสองศาลเป็นเงิน 5,000 บาท แทนโจทก์”