คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2332/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยร้องขอให้ศาลงดการบังคับคดีไว้อ้างว่าเป็นกรณีที่สามารถหักกลบลบหนี้กับคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์ที่ 1 อีกคดีหนึ่งได้ ปรากฏว่าคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์ที่ 1 นั้นเป็นการฟ้องหย่าและในคำร้องของจำเลยไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ฟ้องขอให้ศาลบังคับให้โจทก์ที่ 1 ชำระหนี้เป็นเงินให้แก่จำเลยด้วย แต่หนี้ที่ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระในคดีนี้เป็นหนี้เงิน ดังนั้นคดีทั้งสองนี้ จึงมิได้เป็นวัตถุแห่งหนี้เป็นหนี้อย่างเดียวกัน นอกจากนั้นคดีนี้ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์ทั้งสาม คนละจำนวนแยกต่างหากจากกัน แต่ในคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์ที่ 1 นั้น จำเลยฟ้องโจทก์ที่ 1 เพียงผู้เดียวมิได้ฟ้องโจทก์ที่ 2 ที่ 3 ด้วยถึงหากศาลจะพิพากษาให้จำเลยชนะคดีในคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์ที่ 1 ก็ไม่อาจนำหนี้ไปหักกลบลบหนี้กับหนี้ตามคำพิพากษาคดีนี้ของโจทก์ที่ 2 ที่ 3 ได้ กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293 ในอันที่จำเลยจะขอให้งดการบังคับคดีไว้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากการที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูแก่โจทก์ที่ 1 เดือนละ 10,000 บาท และจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูและค่าให้การศึกษาแก่โจทก์ที่ 2 ที่ 3 คนละเดือนละ 10,000 บาท คดีถึงที่สุดแล้วจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ ศาลชั้นต้นได้ออกหมายบังคับคดียึดรถยนต์เก๋งของจำเลยไว้ 2 คัน ขณะอยู่ในระหว่างการประกาศขายทอดตลาดทรัพย์ดังกล่าว จำเลยได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่า จำเลยได้ยื่นฟ้องโจทก์ที่ 1 ขอหย่าเพราะโจทก์ทิ้งร้างจำเลยและกระทำการอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาอย่างร้ายแรงปรากฏตามคดีหมายเลขดำที่ 5529/2524 ของศาลชั้นต้น หากจำเลยชนะคดีก็อาจไม่ต้องมีการขายทอดตลาดหรือจำหน่ายทรัพย์สินของจำเลย เพราะสามารถแบ่งปันทรัพย์สินกันได้โดยวิธีอื่น ขอให้งดการบังคับคดีไว้จนกว่าคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์จะได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดแม้ศาลจะมีคำสั่งให้งดการบังคับคดีโจทก์ก็ไม่เสียหาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยจะต้องรับผิดตามคำพิพากษาเป็นเงินจำนวนมากกว่าทรัพย์อยู่แล้วไม่มีเหตุที่จะให้รอไว้ จึงให้ยกคำร้อง

จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยขอให้งดการบังคับคดีไว้นั้นเป็นกรณีที่จำเลยอ้างสิทธิตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293การที่จำเลยจะมีสิทธิขอให้ศาลมีคำสั่งให้งดการบังคับคดีไว้ตามมาตราดังกล่าวนั้น จะต้องเป็นกรณีที่ปรากฏว่าหนี้ที่จำเลยฟ้องโจทก์เป็นคดีอื่นในศาลเดียวกันนั้นเป็นหนี้ที่อาจหักกลบลบหนี้กันได้กับหนี้ตามคำพิพากษาในคดีที่จำเลยขอให้งดการบังคับคดีไว้นั้น ซึ่งปรากฏตามคำร้องของจำเลยที่ขอให้ศาลงดการบังคับคดีว่าคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์ที่ 1 ตามคดีหมายเลขดำที่ 5529/2524 ของศาลชั้นต้นนั้นเป็นการฟ้องหย่าและไม่ปรากฏข้อความในคำร้องของจำเลยในที่ใดเลยว่าคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์ที่ 1 ดังกล่าว จำเลยได้ฟ้องขอให้ศาลบังคับให้โจทก์ที่ 1 ชำระหนี้เป็นเงินให้แก่จำเลยด้วย แต่หนี้ที่ศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยชำระให้โจทก์ทั้งสามในคดีนี้เป็นหนี้เงิน วัตถุแห่งหนี้ที่จำเลยฟ้องโจทก์ที่ 1 เป็นคดีเรื่องอื่นดังกล่าวจึงมิได้มีวัตถุเป็นอย่างเดียวกันกับหนี้ตามคำพิพากษาคดีนี้ นอกจากนั้นหนี้ตามคำพิพากษาคดีนี้ศาลยังพิพากษาให้จำเลยชำระให้โจทก์ทั้งสามคนละจำนวนแยกต่างหากจากกัน แต่จำเลยได้ฟ้องโจทก์ที่ 1 ตามคดีหมายเลขดำที่ 5529/2524 เพียงผู้เดียว จำเลยมิได้ฟ้องโจทก์ที่ 2 ที่ 3 เป็นจำเลยในคดีดังกล่าวด้วย ดังนั้นไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใดถึงหากศาลจะพิพากษาให้จำเลยชนะคดีกรณีก็ไม่อาจนำหนี้ตามคำพิพากษาในคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์ที่ 1 ไปหักกลบลบหนี้กับหนี้ตามคำพิพากษาคดีนี้ของโจทก์ที่ 2 ที่ 3 ได้ จึงไม่มีเหตุที่ศาลจะมีคำสั่งให้งดการบังคับคดีไว้ตามที่จำเลยร้องขอ ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share