แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
คู่ความไม่ได้ท้ากันให้ถือเอาผลของคำพิพากษาศาลฎีกาคดีอื่นมาเป็นข้อแพ้ชนะทั้งคู่ความไม่ได้แถลงว่าให้ถือเอาข้อเท็จจริงยุติตามคดีดังกล่าว แต่จำเลยให้การต่อสู้คดีและติดใจสืบพยานตามคำให้การ และในคดีก่อนศาลแรงงานกลางมิได้กำหนดให้คำพิพากษาหรือคำสั่งผูกพันนายจ้างหรือลูกจ้างอื่นซึ่งมีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดีตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 53 ที่ศาลแรงงานกลางสั่งงดสืบพยานจำเลยแล้ววินิจฉัยโดยนำข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวมาวินิจฉัย จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งหกจ่ายค่าชดเชยเป็นเงิน 324,519 บาท และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นเงิน 54,086 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2539 จนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
วันนัดพิจารณา คู่ความแถลงว่าคดีนี้กับคดีหมายเลขแดงที่ 5545-5558/2539ของศาลแรงงานกลาง จำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกัน ประเด็นแห่งคดีเป็นประเด็นเดียวกันขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา ซึ่งคาดว่าจะพิพากษาในเร็ว ๆ นี้ หากมีคำพิพากษาแล้วผลของคดีจะเกี่ยวพันกับคดีนี้จะทำให้การพิจารณาพิพากษาเป็นไปด้วยความถูกต้องสะดวก รวดเร็ว ขอให้รอผลคดีดังกล่าว ศาลแรงงานกลางให้จำหน่ายคดีชั่วคราวเพื่อรอฟังคำพิพากษาศาลฎีกา ต่อมาในวันนัดพร้อมหรือฟังคำพิพากษา โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 3 ถึงที่ 6 และสละข้อเรียกร้องสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าศาลแรงงานกลางอนุญาต จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 3 ถึงที่ 6 ออกจากสารบบความและคู่ความแถลงร่วมกันอีกว่า คดีหมายเลขแดงที่ 5545-5558/2539 ของศาลแรงงานกลางดังกล่าวข้างต้น ศาลฎีกาพิพากษาแล้วตามสำเนาคำพิพากษาที่รวมไว้ในคดีนี้โจทก์ไม่ติดใจสืบพยาน ส่วนจำเลยแถลงติดใจสืบพยานตามคำให้การ ศาลแรงงานกลางเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้จึงสั่งงดสืบพยานและนัดฟังคำพิพากษาในวันเดียวกัน
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 จ่ายค่าชดเชยเป็นเงิน 225,000บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2539 จนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์ว่า ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า คดีนี้กับคดีหมายเลขแดงที่ 5545-5558/2539 ของศาลแรงงานกลางซึ่งมีการอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษาแล้ว มีประเด็นอย่างเดียวกันจึงถือว่าข้อเท็จจริงคดีนี้เหมือนกับคดีที่ศาลฎีกาพิพากษา เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยว่า งานก่อสร้างของจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีกำหนดระยะเวลา 3 ปี เกินกว่า 2 ปี ไม่ได้รับยกเว้นการจ่ายค่าชดเชยจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ตามฟ้อง ข้อวินิจฉัยดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 เพราะคดีนี้โจทก์จำเลยมิได้ท้ากันให้ถือเอาคำวินิจฉัยข้อเท็จจริงในคำพิพากษาของศาลฎีกาดังกล่าวมาเป็นข้อยุติในคดีนี้ศาลแรงงานกลางถือเอาข้อวินิจฉัยของศาลฎีกามาวินิจฉัยข้อเท็จจริงในคดีนี้จึงไม่ชอบ เมื่อโจทก์มิได้นำพยานเข้าสืบให้รับฟังได้ตามข้ออ้างในฟ้อง ต้องถือว่าโจทก์ไม่นำสืบให้สมฟ้อง โจทก์ต้องแพ้คดี ทั้งจำเลยที่ 1 และที่ 2 ก็ยังมีสิทธิที่จะนำพยานเข้าสืบตามข้ออ้างในคำให้การที่ว่าโจทก์ไม่ได้เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 และที่ 2 การที่ศาลแรงงานกลางสั่งงดสืบพยานจำเลย อ้างว่าข้อเท็จจริงสามารถวินิจฉัยคดีได้แล้วโดยถือตามข้อเท็จจริงในคดีหมายเลขแดงที่ 5545-5558/2539 ของศาลแรงงานกลาง ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงนอกสำนวนมาวินิจฉัย คำสั่งงดสืบพยานจึงไม่ชอบ เห็นว่า คดีนี้คู่ความไม่ได้ท้ากันให้ถือเอาผลของคำพิพากษาศาลฎีกามาเป็นข้อแพ้ชนะทั้งคู่ความไม่ได้แถลงว่าให้ถือเอาข้อเท็จจริงยุติตามคดีดังกล่าว เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การต่อสู้คดีว่า โจทก์ไม่ได้เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 และที่ 2 และจำเลยทั้งสองยังติดใจสืบพยานในประเด็นตามคำให้การดังกล่าวประกอบกับการที่ศาลแรงงานกลางจะกำหนดให้คำพิพากษาหรือคำสั่งผูกพันนายจ้างหรือลูกจ้างอื่นซึ่งมีผลประโยชน์ร่วมกัน ในมูลความแห่งคดีตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 53นั้น ศาลแรงงานกลางจะต้องกำหนดไว้โดยชัดแจ้งในคำพิพากษาหรือคำสั่งในคดีก่อนแต่หาได้กำหนดไว้ไม่ ดังนั้น การที่ศาลแรงงานสั่งงดสืบพยานจำเลยแล้ววินิจฉัยโดยนำข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวมาวินิจฉัยคดีนี้ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายอุทธรณ์จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฟังขึ้น ปัญหาอื่นไม่จำต้องวินิจฉัยต่อไป”
พิพากษายกคำสั่งศาลแรงงานกลางที่ให้งดสืบพยานจำเลยที่ 1 และที่ 2 และยกคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง ให้ศาลแรงงานกลางดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานจำเลยที่ 1 และที่ 2 แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี