คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 265/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนด เลขที่ 6343 ที่โจทก์ซื้อมา โดยโจทก์ได้ทราบในขณะซื้อแล้วว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองที่พิพาทอยู่ทั้งเข้าใจว่าเป็นของจำเลย เพียงแต่สำคัญผิดว่าเป็นที่ดินอยู่นอกโฉนด ดังกล่าว เช่นนี้จำเลยย่อมยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ได้ว่าโจทก์จดทะเบียนรับโอนมาโดยไม่สุจริต.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่6343 โดยซื้อมาจากนางต้อย สงวนสำราญ ได้จดทะเบียนการซื้อขายต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โดยสุจริต ต่อมาโจทก์ได้ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินทำการรังวัดสอบเขต จำเลยได้คัดค้านว่าที่ดินบางส่วนในโฉนดที่ดินดังกล่าวเนื้อที่ประมาณสองไร่เศษเป็นของจำเลยโดยอ้างว่าได้ครอบครองมานานแล้ว แม้จำเลยจะได้ครอบครองมานานแล้วก็ตามแต่ยังไม่ได้จดทะเบียน จะยกขึ้นต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ได้ ขอให้พิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่พิพาทและชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลย ได้ครอบครองมาโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาเกินกว่า 20 ปีแล้วขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์ซื้อที่พิพาทมาโดยไม่สุจริตพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่าที่ดินทั้ง2 แปลงอยู่ในเขตโฉนดที่ดินเลขที่ 6343 โดยอยู่ทางทิศตะวันออกของที่ดินดังกล่าว มีเนื้อที่ประมาณ 52 ตารางวาและ 1 ไร่ 3 งาน 74ตารางวาตามลำดับ…ขณะที่โจทก์ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 6343 นั้นโจทก์ทราบอยู่แล้วว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองที่พิพาทนี้อยู่ ทั้งเข้าใจด้วยว่าเป็นของจำเลยเพียงแต่สำคัญผิดว่าเป็นที่ดินอยู่นอกโฉนดเลขที่ 6343 เท่านั้น เมื่อโจทก์ทราบอยู่แล้วว่าที่พิพาทเป็นที่ดินส่วนหนึ่งของจำเลย โจทก์จะอ้างว่าเป็นการจดทะเบียนรับโอนมาโดยสุจริตหาได้ไม่ ถึงแม้ที่พิพาทเป็นที่ดินส่วนหนึ่งซึ่งอยู่ในโฉนดเลขที่ 6343 ที่โจทก์ซื้อมา เมื่อโจทก์จดทะเบียนรับโอนมาโดยไม่สุจริตเช่นนี้ จำเลยก็ย่อมยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง…”
พิพากษายืน.

Share