คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 871/2497

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า ได้ออกเงินทดรองไปให้จำเลยจำเลยปฏิเสธดังนี้ โจทก์มีหน้าที่นำสืบ เมื่อสืบไม่สมโจทก์ก็ต้องแพ้
โจทก์ฟ้องเรียกเงินทดรองที่ออกแทนจำเลยเมื่อปรากฏว่าเงินจำนวนนี้เป็นจำนวนเดียวกับในคดีที่โจทก์จำเลย ได้ว่ากล่าวกันจนคดีถึงที่สุดแล้วดังนี้เป็นฟ้องซ้ำ โจทก์จะรื้อร้องฟ้องอีกไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เนื่องจากโจทก์ได้รับเป็นตัวแทนค้าต่างยาสูบของโรงงานยาสูบกรมสรรพสามิตประจำจังหวัดนครนายก โจทก์จำเลยจึงได้ทำสัญญาดำเนินการค้ายาสูบนี้ร่วมกัน โดยจำเลยตกลงเป็นผู้ออกทุนสั่งซื้อยาสูบทั้งหมดแต่ผู้เดียว เมื่อได้ผลประโยชน์แล้วแบ่งกำไรกันตามสัญญาท้ายฟ้องบางครั้งจำเลยไม่มีทุนออกโจทก์ต้องออกเงินทดรองให้ในการสั่งยาสูบรวม3 ครั้งเป็นเงิน 23,300 บาท จำเลยยังไม่ได้คืน ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินคืนพร้อมทั้งดอกเบี้ย

จำเลยต่อสู้และเพิ่มเติมคำให้การต่อสู้ว่า จำเลยได้มอบทุนให้โจทก์พอเพียงแก่การหมุนเวียน ในการซื้อบุหรี่มาจำหน่าย จำเลยไม่เคยเป็นหนี้โจทก์ดังกล่าว การที่เงินไม่พอเพราะโจทก์เอาไปหมุนทางอื่น จนกระทั่งเงินปันผลก็ยังค้างจ่ายให้จำเลย และเมื่อคิดบัญชีครั้งสุดท้าย โจทก์กลับเป็นหนี้จำเลย ซึ่งจำเลยได้ยื่นฟ้องโจทก์ไว้แล้วตามสำนวนคดีแพ่งดำที่ 961/2491 โจทก์ฟ้องแก้เกี้ยวและตัดฟ้องว่าเป็นฟ้องซ้ำ

ศาลชั้นต้นเห็นว่า ข้ออ้างของโจทก์ฟังไม่ได้ จำเลยนำสืบได้โดยปราศจากความเคลือบคลุมสงสัย พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกาคัดค้านว่า (1) ตามสัญญาโจทก์ไม่มีหน้าที่ออกทุนเงินที่โจทก์ออกไปนี้จึงเป็นการออกทดรองให้จำเลยเป็นส่วนตัว (2) การคิดบัญชีหุ้นส่วนระหว่างโจทก์จำเลยในคดีแพ่งดำที่ 961/2491 นั้น จะนำมาใช้ในคดีนี้ไม่ได้ เพราะคดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกเงินที่จ่ายแทนจำเลยไม่เกี่ยวกับเงินระหว่างหุ้นส่วน (3)โจทก์ไม่ได้นำเงินที่ฟ้องในคดีนี้ไปฟ้องแย้งในคดีแพ่งดำที่ 961/2491 เพราะขณะนั้นยังค้นเอกสารหมายเลข 1 ไม่ได้ เมื่อค้นพบก็นำมาฟ้อง และ (4) ที่จำเลยนำสืบว่าเงินที่โจทก์ฟ้องในคดีนี้เป็นค่าอะไรและจำหน่ายไปอย่างไรนั้น จำเลยนำสืบเกี่ยวกับการกระทำระหว่างจำเลยกับนายประยงค์จะนำมาผูกมัดโจทก์ไม่ได้ทั้งเป็นเงินคนละประเภทกันจำเลยไม่พ้นความรับผิด

เบื้องต้นศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ จำเลยเป็นหุ้นส่วนค้าบุหรี่กันทั้งที่นครนายกและปราจีนบุรี ตามคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีหมายเลขดำที่ปราจีนบุรีที่จำเลยอ้างมาในคดีนี้

ศาลฎีกาเห็นว่า ฎีกาของโจทก์ข้อ (1) โจทก์จำเลยต่างเบิกความยันกันปากต่อปากและตามเอกสารที่โจทก์อ้างก็ลงไว้แต่ว่า”สวัสดีรับจาก ผ.จ.ก.”ไม่ปรากฏว่าจำเลยรับเงินทั้ง 3 จำนวนนี้ไว้จากโจทก์ในฐานะอะไรและเพื่อทำอะไรดังนี้ฟังว่าโจทก์ซึ่งมีหน้าที่สืบก่อนสืบได้สมคำกล่าวอ้างของตนว่าเงินนั้นเป็นเงินทดรองซึ่งตนได้จ่ายให้จำเลยไปยังไม่ได้

ฎีกาข้อ (2) เมื่อฟังไม่ได้ว่า เงินที่โจทก์ฟ้องในคดีนี้เป็นเงินที่โจทก์จ่ายทดรองให้แก่จำเลยเป็นส่วนตัวก็ต้องถือว่าเงินนั้นจ่ายไปในกิจการของหุ้นส่วนซึ่งอาจนำมาคิดหักกันได้

ฎีกาข้อ (3) เห็นว่าถ้าโจทก์ให้ออกเงินทดรองให้แก่จำเลยไปจริงแม้จะหาเอกสารไม่พบอย่างน้อยโจทก์ก็ควรจะได้กล่าวถึงเงิน 3 จำนวนนี้ในคดีดำที่ 961/2491 การที่โจทก์มิได้โต้แย้งไว้ทั้ง ๆ ที่ปรากฏอยู่ในเอกสารที่จำเลยอ้างเป็นหลักฐานในคดีที่ศาลแพ่งนั้น ย่อมแสดงว่าการคิดบัญชีระหว่างโจทก์จำเลย ในคดีนั้นได้คิดรวมทั้งเงิน 3 จำนวนนี้ด้วย

ฎีกาข้อ (4) ปรากฏว่านายประยงค์เป็นสมุหบัญชีของบริษัทจังหวัดปราจีนบุรีอยู่ในบังคับบัญชาของจำเลย และได้ทำบัญชีเงินเกี่ยวค้างระหว่างโจทก์จำเลยขึ้นตามคำขอร้องของโจทก์เอง ฉะนั้นโจทก์จะปฏิเสธการกระทำของนายประยงค์ก็ย่อมไม่ชอบ

เงิน 3 จำนวนในคดีนี้ โจทก์จำเลยได้นำมาคิดบัญชีหักหนี้สินกันและจำเลยได้เป็นโจทก์ฟ้องในคดีหมายเลขดำที่ 961/2491 จนศาลฎีกาได้พิพากษาถึงที่สุดไปแล้ว โจทก์จะนำเงิน 3 จำนวนนี้มารื้อฟื้นเรียกร้องอีกไม่ได้

พิพากษายืน

Share