แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้อความในสัญญามีว่า ได้ซื้อขายที่ดินกันและได้ชำระราคากันเสร็จแล้วแต่มีกล่าวไว้อีกว่าคู่สัญญาจะต้องไปทำการโอนโฉนดที่ดินที่ซื้อขายให้แก่กันภายในกำหนดดังนี้ย่อมเป็นสัญญาจะซื้อขาย หาใช่เป็นสัญญาซื้อขายเด็ดขาด
ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกันไว้แล้ว ผู้ขายถึงแก่กรรมลงก่อนทำการโอนดังนี้ ผู้ซื้อย่อมฟ้องผู้รับมรดกของผู้ขายให้ทำการโอนที่ดินนั้น ให้ตามสัญญาได้
โจทก์เคยฟ้องจำเลย ขอให้ศาลแสดงว่าที่ดินพิพาทที่โจทก์ซื้อไว้จากผู้ตาย เป็นกรรมสิทธิของโจทก์ศาลวินิจฉัยว่าสัญญาที่โจทก์ฟ้องเป็นเพียงสัญญาจะซื้อขายเท่านั้น โจทก์ยังไม่มีกรรมสิทธิจึงพิพากษายกฟ้องดังนี้ โจทก์ย่อมฟ้องใหม่ให้จำเลยโอนที่ดินตามสัญญาจะซื้อขายนั้น ให้แก่โจทก์ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า นางแม้นได้ทำหนังสือขายที่นาส่วนของตนให้แก่โจทก์ ราคา 5,000 บาท รับเงินไปเสร็จแล้ว สัญญาจะโอนที่นาให้ภายใน1 เดือน แต่นางแม้นตายลงเสียก่อน จึงขอให้จำเลยผู้รับมรดกตามพินัยกรรมโอนให้โจทก์ ฯลฯ
จำเลยปฏิเสธสัญญา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยโอนที่พิพาทให้โจทก์ ฯลฯ
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า สัญญาซื้อขายมีความว่า นางแม้น ซึ่งเป็นเจ้าของร่วมกับนางเจือ ขายที่ดินโฉนดที่ 2060 ซึ่งเป็นส่วนของนางแม้นให้แก่โจทก์เป็นเงิน 5,000 บาท ผู้ขายได้รับเงินนั้นไปครบถ้วนแล้ว ผู้ขายสัญญาว่าจะไปทำการโอนให้แก่ผู้ซื้อภายในกำหนด 1 เดือน หากครบสัญญาแล้วผู้ขายไม่ได้โอนยอมให้ฟ้องศาลบังคับได้ ดังนี้ ย่อมเป็นสัญญาจะซื้อขาย หาใช่เป็นสัญญาซื้อขายเด็ดขาดไม่
ส่วนข้อฟ้องซ้ำ ก็ได้ความว่าโจทก์เคยฟ้องศาลขอให้ศาลแสดงว่าที่ดินพิพาทที่โจทก์ซื้อไว้จากนางแม้นเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์และห้ามจำเลยไม่ให้มาเกี่ยวข้อง ศาลพิพากษายกฟ้อง โดยวินิจฉัยว่าสัญญาที่โจทก์ฟ้องเป็นเพียงสัญญาจะซื้อขายเท่านั้น โจทก์ไม่มีกรรมสิทธิ์ ดังนี้ โจทก์จึงมาฟ้องคดีนี้ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ และปรากฏว่า จำเลยเป็นทายาทของนางแม้นโดยพินัยกรรม จำเลยจึงต้องรับผิดตามนัยแห่งฎีกาที่ 106/2488
จึงพิพากษายืน