คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2331/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่ 1 ตกลงให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินแก่ผู้เช่าและรับโอนสิทธิการเช่าแทน โดยจำเลยที่ 1 จะชำระเงินและโอนสิทธิการเช่าคืนจากจำเลยที่ 2 นั้น จำเลยที่ 1 เป็นทั้งลูกหนี้และเจ้าหนี้ เมื่อจำเลยที่ 2 ตกลงกับโจทก์ให้โจทก์ชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 แก่จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 โอนสิทธิการเช่าแก่โจทก์จึงเป็นการแปลงหนี้ใหม่โดยเปลี่ยนทั้งตัวเจ้าหนี้และลูกหนี้ และเมื่อสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 เป็นการเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้ จึงต้องบังคับตามบทบัญญัติเรื่องโอนสิทธิเรียกร้องดังนั้น เมื่อจำเลยที่ 2 กับโจทก์ตกลงกันด้วยวาจาโดยมิได้ทำเป็นหนังสือจึงไม่สมบูรณ์ไม่มีผลใช้บังคับ
เมื่อสัญญาระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 มิได้กำหนดวันชำระเงินและจำเลยที่ 2 บอกกล่าวให้จำเลยที่ 1 นำเงินมาชำระภายใน 3 วัน นับแต่วันรับหนังสือ หากพ้นกำหนดจะถือเป็นการขอถอนคำมั่นนั้น เป็นการกำหนดเวลาให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้และขอเลิกสัญญา เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ภายในกำหนดสัญญาจึงเป็นอันเลิกกัน
สัญญาซึ่งลงลายมือชื่อจำเลยที่ 1กับโจทก์ทั้งสองฝ่ายมีข้อความบ่งชัดว่าสัญญาเกิดขึ้นแล้ว ไม่ใช่เพียงคำมั่น แต่การที่จำเลยที่ 1 บอกกล่าวกำหนดเวลาให้โจทก์ชำระเงิน โจทก์ไม่ชำระตามเวลากำหนด โจทก์จึงไม่มีสิทธิบังคับให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้โดยรับชำระเงินจากโจทก์แล้วโอนสิทธิการเช่าให้โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองทำหนังสือสัญญาต่อกันว่า จำเลยที่ ๑ ได้กู้เงินนายธรรมนูญเพื่อซื้อสิทธิการเช่าที่ดินจากบุคคลอื่น โดยใส่ชื่อนายธรรมนูญเป็นผู้เช่าจำเลยที่ ๒ ได้ชำระหนี้แก่นายธรรมนูญแล้ว จำเลยที่ ๑ ยอมให้ใส่ชื่อจำเลยที่ ๒ เป็นผู้เช่า หากจำเลยที่ ๑ ชำระเงินแก่จำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ จะต้องโอนสิทธิการเช่าที่ดินมาเป็นของเลยที่ ๑ ต่อมานายธรรมนูญไม่ยอมโอนสิทธิการเช่าที่ดินให้แก่จำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ จึงดำเนินคดีแก่นายธรรมนูญ ในระหว่างการพิจารณาคดีจำเลยที่ ๒ ตกลงยอมให้โจทก์ชำระเงินแทนจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ จะโอนสิทธิการเช่าที่ดินให้แก่โจทก์เมื่อคดีเสร็จเด็ดขาด โดยจำเลยที่ ๒ ให้จำเลยที่ ๑ นำสัญญาที่ตนทำไว้กับจำเลยที่ ๒ มามอบให้โจทก์ยึดไว้ และให้จำเลยที่ ๑ ทำหนังสือสัญญากับโจทก์ว่า ให้โจทก์มีหน้าที่ชำระเงินแก่จำเลยที่ ๒ แทนจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ขอสละสิทธิที่จะรับโอนสิทธิการเช่าจากจำเลยที่ ๒ แล้วศาลฎีกาพิพากษาให้นายธรรมนูญโอนสิทธิการเช่าที่ดินให้แก่จำเลยที่ ๒ โจทก์ได้ติดต่อให้จำเลยที่ ๒ รับเงินและโอนสิทธิการเช่าให้โจทก์ จำเลยที่ ๒ บ่ายเบี่ยง ต่อมาโจทก์ได้รับหนังสือของจำเลยที่ ๑ ให้โจทก์ปฏิบัติตามหนังสือสัญญาโจทก์มีหนังสือนัดจำเลยทั้งสองไปทำการโอนสิทธิการเช่า จำเลยทั้งสองไม่ไปตามนัด จำเลยทั้งสองสมคบกันทำให้โจทก์เสียหายไม่อาจใช้ประโยชน์ในที่ดิน ขอให้จำเลยทั้งสองโอนสิทธิการเช่าที่ดินแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ ๒ รับเงิน ๑๓๐,๐๐๐ บาทจากโจทก์ให้จำเลยทั้งสองส่งมอบที่ดินและออกไปจากที่ดินและร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า โจทก์อยากได้ที่ดินตามฟ้องจึงขู่เข็ญจำเลยที่ ๑ ว่าจะแจ้งเจ้าหน้าที่จับเรื่องเช็ค จำเลยที่ ๑ จึงยอมทำหนังสือสัญญากับโจทก์ตามฟ้อง พร้อมกันนั้นก็บีบบังคับให้จำเลยที่ ๑ ส่งมอบสัญญาระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ ให้โจทก์ด้วย หนังสือสัญญาระหว่างจำเลยที่ ๑ กับโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมายเมื่อศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยที่ ๒ ชนะคดีนายธรรมนูญ จำเลยที่ ๑ ได้รับคำเตือนจากจำเลยที่ ๒ ให้ปฏิบัติตามสัญญา จำเลยที่ ๑ จึงมีหนังสือแจ้งโจทก์ให้ปฏิบัติตามสัญญาโจทก์ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข ถือว่าหนังสือสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ไร้สภาพที่จะบังคับกันตามกฎหมาย
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ ไม่เคยตกลงให้โจทก์ชำระเงินแทนจำเลยที่ ๑ ทั้งจำเลยที่ ๒ ก็ไม่ได้ให้จำเลยที่ ๑ นำหนังสือสัญญาที่จำเลยที่ ๒ ทำไว้แก่จำเลยที่ ๑ ให้โจทก์ยึดถือไว้ หนังสือสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ไม่ผูกพัน จำเลยที่ ๒ เมื่อศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยที่ ๒ ชนะคดีนายธรรมนูญ จำเลยที่ ๒ มีหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ ๑ ปฏิบัติตามสัญญา แต่จำเลยที่ ๑ ไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาได้ จึงถือว่าสัญญาระหว่างจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ หมดสภาพบังคับตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ความตกลงระหว่างจำเลยที่ ๒ กับโจทก์แม้หากจะเป็นความจริงก็เป็นการแปลงหนี้ใหม่ด้วยการเปลี่ยนตัวจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นทั้งลูกหนี้และเจ้าหนี้จำเลยที่ ๒ ตามสัญญาระหว่าง-จำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ มาเป็นโจทก์ แต่สัญญาใหม่ระหว่างจำเลยที่ ๒ กับโจทก์ซึ่งเป็นการเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้ในการรับโอนสิทธิการเช่าจากจำเลยที่ ๑ มาเป็นโจทก์นั้น ต้องบังคับตามบทบัญญัติว่าด้วยการโอนสิทธิเรียกร้อง เมื่อจำเลยที่ ๒ ตกลงกับโจทก์ด้วยวาจาเท่านั้นโดยมิได้ทำเป็นหนังสือจึงไม่สมบูรณ์ ไม่มีผลใช้บังคับ
สัญญาระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ มิได้กำหนดเวลาให้จำเลยที่ ๑ นำเงินมาชำระให้แก่จำเลยที่ ๒ การที่จำเลยที่ ๒ มีหนังสือถึงจำเลยที่ ๑ ให้จำเลยที่ ๑ จัดการตามคำมั่นให้เสร็จสิ้นภายใน ๓ วัน นับแต่วันรับหนังสือและหากพ้นกำหนดถือว่าจำเลยที่ ๑ ไม่ติดใจตอบรับคำมั่นและขอถอนคำมั่นนั้นเท่ากับเป็นการบอกกล่าวกำหนดระยะเวลาให้จำเลยที่ ๑ ชำระหนี้ และขอเลิกสัญญาหากมิได้ชำระหนี้ภายในกำหนด เมื่อจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระหนี้ภายในเวลากำหนดสัญญาจึงเป็นอันเลิกกัน
สัญญาระหว่างจำเลยที่ ๑ กับโจทก์ลงชื่อจำเลยที่ ๑ กับโจทก์ทั้งสองฝ่ายข้อความในสัญญาบ่งชัดว่าสัญญาเกิดขึ้นแล้ว มิใช่เป็นเพียงคำมั่นของจำเลยที่ ๑ แต่สัญญามิได้กำหนดเวลาให้โจทก์ชำระเงินเมื่อใด เมื่อจำเลยที่ ๑ มีหนังสือให้โจทก์ส่งเงินไปให้จำเลยที่ ๑ ภายใน ๓ วัน นับแต่วันได้รับหนังสือ จึงเป็นการบอกกล่าวกำหนดเวลาให้โจทก์ชำระหนี้ แต่โจทก์ไม่ปฏิบัติตามเวลากำหนด โจทก์จึงไม่มีสิทธิบังคับให้จำเลยที่ ๑ โอนสิทธิการเช่าให้โจทก์ตามสัญญานั้น เมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิบังคับให้จำเลยทั้งสองโอนสิทธิการเช่าให้โจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสอง
พิพากษายืน

Share