แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในคดีก่อน โจทก์ฟ้องกล่าวหาจำเลยในข้อหาลักทรัพย์หรือรับของโจรศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้องโดยวินิจฉัยว่า ข้อหาฐานความผิดทั้งสองตามที่กล่าวมาในฟ้องขัดกัน เป็นฟ้องเคลือบคลุมดังนี้ ยังไม่ถือว่าศาลได้วินิจฉัยถึงการกระทำผิดของจำเลยตามข้อกล่าวหาของโจทก์ โจทก์นำคดีนี้มาฟ้องใหม่ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 14-15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2511เวลากลางคืนต่อเนื่องกัน ได้มีคนร้ายบังอาจลักเอาข้าวเปลือกเหนียวเป็นฟ่อน ซึ่งโจทก์ผู้มีอาชีพทางกสิกรรมเก็บเกี่ยวตากแดดไว้ที่ทุ่งนาไป คิดเป็นข้าวเปลือกประมาณ 4 ถัง มีราคา 40 บาท ตามวันเวลาดังกล่าวแต่ภายหลังที่คนร้ายลักข้าวของโจทก์ไป มีผู้พบเห็นจำเลยนี้เอาข้าวของโจทก์ที่ถูกลักไป ทั้งนี้ โดยจำเลยเป็นคนร้ายลักเอาข้าวเปลือกของโจทก์ดังกล่าวในฟ้อง หรือมิฉะนั้นระหว่างวันเวลาดังกล่าวมาในฟ้อง จำเลยนี้ได้บังอาจรับเอาข้าวเปลือกของโจทก์ไว้ โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของร้ายที่ได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ เหตุเกิดที่ตำบลอิตื้อ อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ ต่อมาวันที่ 15 พฤศจิกายน 2511 ผู้ใหญ่บ้านจับจำเลยได้พร้อมด้วยข้าวเปลือกดังกล่าวเป็นของกลาง ขอให้ศาลลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335, 357
ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งว่า ในกรณีเดียวกันนี้ โจทก์ในคดีนี้ได้ฟ้องจำเลยนี้ที่ศาลนี้มาครั้งหนึ่งแล้วปรากฏตามสำนวนคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1070/2511 หมายเลขแดงที่ 1061/2511 ระหว่างนายชาลี หรัญรัตน์ โจทก์ นายเลี้ยง ภูชื่นศรี จำเลยข้อหาความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร ซึ่งศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าฟ้องของโจทก์ในคดีดังกล่าวขัดกันอยู่ในตัว เป็นฟ้องเคลือบคลุม ซึ่งไม่อาจทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) จึงยกฟ้องโจทก์ โจทก์ไม่อุทธรณ์ แต่ในวันรุ่งขึ้นโจทก์ฟ้องจำเลยนี้เป็นจำเลยในคดีในข้อหาเดียวกันนี้อีกศาลชั้นต้นเห็นว่า สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ ย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ว่า คดีของโจทก์ไม่ต้องห้าม โจทก์มีสิทธิฟ้องได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ในคดีก่อน ระหว่างโจทก์จำเลยหมายเลขแดงที่ 1061/2511 ของศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งได้ยกฟ้องเพราะเป็นฟ้องเคลือบคลุมตามที่ได้ความในชั้นไต่สวนมูลฟ้องนั้น ศาลยังหาได้วินิจฉัยถึงการกระทำผิดของจำเลยตามข้อกล่าวหาของโจทก์ไม่ หากได้วินิจฉัยเพียงในข้อว่าฟ้องโจทก์ซึ่งระบุข้อหาฐานความผิดทั้งสองตามที่กล่าวมาในฟ้องขัดกัน เป็นฟ้องเคลือบคลุมเท่านั้น ฉะนั้น คำพิพากษาของศาลเดิมดังกล่าวจึงไม่ถือว่าเป็นคำพิพากษาที่ได้วินิจฉัยในความผิดซึ่งได้ฟ้อง อันจะเป็นเหตุให้สิทธิของโจทก์ที่จะนำคดีเดิมมาฟ้องใหม่เป็นคดีนี้ ระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นพิเคราะห์พยานหลักฐานในชั้นไต่สวนมูลฟ้องและมีคำสั่งใหม่