แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ว่าโทษที่จำเลยได้รับครั้งก่อนจะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติกัญชาพุทธศักราช 2477 แต่พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 3 ได้บัญญัติให้ยกเลิกพระราชบัญญัติกัญชา พุทธศักราช 2477 ทั้งฉบับ โดยถือว่ากัญชาเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 และผู้มีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต มีความผิดตาม มาตรา 26,76ดังนั้น การที่จำเลยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตในคดีก่อนจึงต้องถือเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษด้วยเมื่อจำเลยกระทำความผิดฐานมีเฮโรอีนอันเป็น ยาเสพติดให้โทษประเภท1 ไว้ในครอบครองภายในกำหนดเวลาห้าปี นับแต่วันพ้นโทษคดีก่อน จึงอยู่ในเกณฑ์ที่จะเพิ่มโทษจำเลยตามมาตรา 97 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีเฮโรอีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต และจำเลยเคยต้องโทษจำคุกฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ได้กระทำผิดคดีนี้อีกภายในระยะเวลาห้าปีนับแต่พ้นโทษ ขอให้ลงโทษและเพิ่มโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 และริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 67, 97 ให้จำคุก 2 ปี เพิ่มโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 กึ่งหนึ่งเป็นจำคุก 3 ปี รับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 1 ปี 6 เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์ว่าการเพิ่มโทษกึ่งหนึ่งไม่ถูกต้อง
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยกระทำผิดก่อนพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ใช้บังคับ ที่ศาลชั้นต้นเพิ่มโทษจำเลยกึ่งหนึ่งตามมาตรา 97 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวจึงไม่ถูกต้องจะเพิ่มโทษได้เพียงหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 พิพากษาแก้เป็นว่าให้วางโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 2 ปี เพิ่มโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 หนึ่งในสาม เป็นจำคุก 2 ปี 8 เดือนรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 97 อันเป็นกฎหมายใช้บังคับในขณะจำเลยกระทำผิดคดีนี้ บัญญัติว่า”ผู้ใดต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกสำหรับความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ถ้ากระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้อีกในระหว่างที่ยังต้องรับโทษอยู่หรือภายในเวลาห้าปีนับแต่วันพ้นโทษ หากศาลจะพิพากษาโทษครั้งหลังถึงจำคุก ให้เพิ่มโทษที่จะลงแก่ผู้นั้นอีกกึ่งหนึ่งของโทษที่ศาลกำหนดสำหรับความผิดครั้งหลัง” คดีนี้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเคยถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุกฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตแล้วมากระทำผิดคดีนี้ภายในเวลาห้าปีนับแต่วันพ้นโทษคดีก่อน แม้ว่าโทษครั้งก่อนจะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติกัญชา พุทธศักราช 2477 แต่พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 3 ได้บัญญัติให้ยกเลิกพระราชบัญญัติกัญชา พุทธศักราช 2477 ทั้งฉบับ แล้วนำมาบัญญัติไว้ในมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 โดยถือว่ากัญชาเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 และผู้ที่มีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต มีความผิดตามมาตรา 26, 76 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท ดังนั้นการที่จำเลยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตในคดีก่อน จึงต้องถือว่าเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษด้วยเมื่อจำเลยกระทำความผิดฐานมีเฮโรอีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 1 ไว้ในครอบครองภายในกำหนดเวลาห้าปีนับแต่วันพ้นโทษคดีก่อนจึงอยู่ในเกณฑ์ที่จะเพิ่มโทษจำเลยตามมาตรา 97 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ได้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเพิ่มโทษจำเลยกึ่งหนึ่งตามมาตรา 97 แห่งพระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ไม่ได้ เพราะจำเลยกระทำความผิดคดีก่อนเป็นการกระทำความผิดก่อนที่พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ใช้บังคับ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิ่มโทษจำเลยกึ่งหนึ่งตามมาตรา 97 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 เป็นจำคุกจำเลย3 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งเพราะจำเลยให้การรับสารภาพตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์