แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ลงโทษฐานชิงทรัพย์และขอให้กักกัน ศาลมีคำสั่งให้ยกฟ้องโทษฐานกักกันเป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก แล้วพิพากษาลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์นั้นดังนี้ ถือว่าคำสั่งของศาลเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์คำพิพากษาจะอุทธรณ์ฉะเพาะคำสั่งของศาลที่ให้แยกฟ้องมิได้ต้องห้ามตามประมวลวิธีพิจารณาอาญา ม.196
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องจำเลยหาว่าชิงทรัพย์ครั้นสืบพะยานโจทก์เสร็จแล้ว โจทก์ยื่นคำร้องว่าจำเลยเคยต้องโทษมาแล้ว ๒ ครั้งขอให้เพิ่มโทษและลงโทษกักกัน จำเลยแถลงว่าไม่เคยต้องโทษครั้งที่ ๒ โจทก์จึงขอสืบพะยานในข้อนี้ ศาลชั้นต้นสั่งว่าเรื่องนี้ประเด็นข้อหาฐานชิงทรัพย์และขอเพิ่มโทษตามกฎหมายอาญาจำเลยก็รับแล้ว ยังเหลือแต่เรื่องโทษกักกันซึ่งเป็นหน้าที่โจทก์ต้องนำสืบ ซึ่งจะทำให้สำนวนชักช้า ศาลจึงอาศัย ม.๑๖๐ แห่งประมวลวิธีพิจารณาอาญาให้โจทก์แยกฟ้องข้อหาฐานกักกันเป็นอีกสำนวนหนึ่งต่างหาก ครั้นศาลพิพากษาลงโทษจำเลยแล้ว โจทก์ยื่นอุทธรณ์คำสั่งที่ให้แยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นสั่งว่าคำสั่งที่ให้แยกฟ้องเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เมื่อเสร็จสำนวนและศาลพิพากษาเรื่องชิงทรัพย์แล้วโจทก์ก็มิได้อุทธรณ์ ฉะนั้นจะอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาอย่างเดียวมิได้ ต้องห้ามตาม ม.๑๙๖ แห่งประมวลวิธีพิจารณาอาญา จึงไม่รับอุทธรณ์
ศาลฎีกาและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามทุกประการ