แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การลงลายมือชื่อปลอมของ ด. กับ ส. ผู้ซึ่งไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งเป็นเพียงรายละเอียดของการกระทำในการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดตาม ป.อ. มาตรา 157 ที่โจทก์ขอให้ลงโทษ นอกเหนือจากการเป็นสาระสำคัญของการกระทำอันเป็นองค์ประกอบของความผิดฐานปลอมเอกสารราชการตาม ป.อ. มาตรา 265 ที่โจทก์ขอให้ลงอีกข้อหาหนึ่ง เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คดีมีข้อควรสงสัยว่าจำเลยทั้งสี่ร่วมกันกระทำความผิดฐานทำและใช้เอกสารราชการปลอมหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยทั้งสี่ แต่การที่จำเลยทั้งสี่ทราบเรื่องที่มีการแก้ไขเพิ่มชื่อ ด. กับ ส. ในบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง กลับนิ่งเฉยปล่อยให้มีการแก้ไขโดยไม่ทักท้วงหรือให้คำแนะนำให้ปฏิบัติให้ถูกต้อง อันเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต จึงคงเป็นข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องในรายละเอียดมิใช่ในข้อสาระสำคัญสำหรับข้อหาความผิดตาม ป.อ. มาตรา 157 ทั้งมิใช่กรณีที่โจทก์มิได้กล่าวในฟ้องหรือเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่งและวรรคสี่ เมื่อจำเลยทั้งสี่มิได้หลงต่อสู้ ศาลชั้นต้นมีอำนาจลงโทษจำเลยทั้งสี่ได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 264, 265, 268, 83 พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 30, 79, 126 เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยทั้งสี่มีกำหนดห้าปี
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 83 จำคุกคนละ 2 ปี และปรับคนละ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษมีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยที่ 3 และที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยทั้งสี่ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 เสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาถูกต้องหรือไม่ พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า ขณะจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีตำแหน่งเป็นกรรมการ
การเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลสงเปือย จำเลยที่ 4 มีตำแหน่งเป็นผู้ประสานงานและสนับสนุนการเลือกตั้ง มีหน้าที่ดำเนินการเลือกตั้งให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตและโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่คณะกรรมการการเลือกตั้ง คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดยโสธร องค์การบริหารส่วนตำบลสงเปือย กระทรวงมหาดไทย และผู้อื่น โดยในวันดังกล่าวเป็นวันเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลสงเปือย ทางราชการได้ประกาศรายชื่อและเลขประจำตัวประชาชนของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในบัญชีรายชื่อของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ซึ่งมีรายชื่อของนางทองดา กับนางสาวสมพิศ พร้อมเลขประจำตัวประชาชนอยู่ในบัญชีรายชื่อขององค์การบริหารส่วนตำบลสงเปือย ประจำหน่วยเลือกตั้งที่ 1 ด้วย ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งมาแสดงตนพร้อมบัตรประจำตัวประชาชนต่อคณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง โดยคณะกรรมการจะตรวจสอบความถูกต้องและลงเลขบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งนั้นในบัญชีรายชื่อของผู้มีสิทธิเลือกตั้งและให้ผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งนั้นลงลายมือชื่อในบัญชีรายชื่อที่ปรากฏชื่อของตนก่อนใช้สิทธิเลือกตั้ง ต่อมาตามวันเวลาดังกล่าว จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายกับจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ช่วยเหลือกรรมการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลสงเปือย ได้ร่วมกันลงลายมือชื่อปลอมของนางทองดากับนางสาวสมพิศพร้อมลงเลขบัตรประจำตัวประชาชนของบุคคลทั้งสองในบัญชีรายชื่อผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งขององค์การบริหารส่วนตำบลสงเปือย อันเป็นเอกสารราชการ โดยที่บุคคลทั้งสองไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ดังนี้ การลงลายมือชื่อปลอมของนางทองดากับนางสาวสมพิศผู้ซึ่งไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งจึงเป็นเพียงรายละเอียดของการกระทำในการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ที่โจทก์ขอให้ลงโทษ นอกเหนือจากการเป็นสาระสำคัญของการกระทำอันเป็นองค์ประกอบในความผิดฐานปลอมเอกสารราชการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 ที่โจทก์ขอให้ลงโทษอีกข้อหาหนึ่ง เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คดีมี
ข้อสงสัยว่าจำเลยทั้งสี่ร่วมกันกระทำความผิดฐานทำและใช้เอกสารราชการปลอมหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยทั้งสี่ แต่การที่จำเลยทั้งสี่ทราบเรื่องที่มีการแก้ไขเพิ่มชื่อนางทองดากับนางสาวสมพิศในบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง กลับนิ่งเฉยปล่อยให้มีการแก้ไข โดยไม่ทักท้วงหรือให้คำแนะนำให้ปฏิบัติให้ถูกต้อง อันเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่
ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต จึงคงเป็นข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดั่งที่กล่าวในฟ้องในรายละเอียด มิใช่ในข้อสาระสำคัญสำหรับข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ทั้งมิใช่เป็นกรณีที่โจทก์มิได้กล่าวในฟ้องหรือเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่งและวรรคสี่ ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัย เมื่อจำเลยทั้งสี่มิได้หลงต่อสู้ ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยทั้งสี่ได้ ตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 3 และที่ 4 ผู้อุทธรณ์เพราะเหตุดังกล่าว รวมตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 และที่ 2 ที่มิได้อุทธรณ์ด้วยเป็นเหตุในลักษณะคดีมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3