คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4037/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อตกลงที่ระบุไว้ในรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี มีข้อความสรุปว่า ความเสียหายของรถยนต์พิพาทนั้น พ. ผู้ครอบครองรถยนต์จะใช้สิทธิการซ่อมตามประกันภัยของตน ส่วนความเสียหายจากเหตุประมาทได้เรียกร้องจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 15,000 บาท ซึ่งจำเลยที่ 1 ได้มอบเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่ พ. แล้ว ไม่ติดใจดำเนินคดีกับฝ่ายจำเลยที่ 1 แสดงว่า พ. ผู้ครอบครองรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ประสงค์ที่จะให้โจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยเป็นผู้รับผิดชอบค่าซ่อมรถยนต์ให้อยู่ในสภาพดีดังเดิมตามสัญญาประกันภัย ส่วนความเสียหายจากเหตุประมาทที่เรียกร้องจากจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 15,000 บาทนั้น เป็นกรณีที่ พ. เรียกร้องค่าเสียหายอื่น ๆ นอกเหนือจากค่าสินไหมทดแทนในการซ่อมรถยนต์ ดังนั้น ข้อตกลงดังกล่าวไม่ทำให้สิทธิในการเรียกร้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสิ้นสุดลงอันเป็นการระงับข้อพิพาทตามลักษณะสัญญาประนีประนอมยอมความ เมื่อโจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยได้จัดการซ่อมแซมรถยนต์พิพาท โจทก์ย่อมรับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยที่จะเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 109,360.15 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 104,776.15 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 30 เมษายน 2553) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 104,776.15 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 21 กันยายน 2552 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 4,584 บาท ตามที่โจทก์ขอ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 8,000 บาท
จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาโต้แย้งว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ยี่ห้ออีซูซุ หมายเลขทะเบียน ผจ 0260 นครราชสีมา คันเกิดเหตุซึ่งจำเลยที่ 2 เป็นผู้ครอบครองและเช่าซื้อรถยนต์คันดังกล่าวไปตามถนนสรรพสิทธิ์ จากสามแยกหน้าเรือนจำ จังหวัดนครราชสีมา มุ่งหน้าไปทางสถานีตำรวจภูธรเมืองนครราชสีมา ด้วยความประมาทโดยขับรถยนต์ด้วยความเร็วสูงจนไม่สามารถควบคุมบังคับรถยนต์ได้เป็นเหตุให้ชนรถยนต์ ยี่ห้อโตโยต้า หมายเลขทะเบียน ฌป 7852 กรุงเทพมหานคร ที่นายพิเชษฐ์ ขับไปจอดไว้หน้าบ้านพักผู้อำนวยการเรือนจำจังหวัดนครราชสีมาซึ่งโจทก์รับประกันภัยไว้ได้รับความเสียหาย โจทก์นำรถยนต์คันดังกล่าวไปซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพดีดังเดิมที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดโตโยต้าโคราช 1988 เสียค่าแรงและค่าอะไหล่เป็นเงิน 104,776.15 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ประการแรกว่า รายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งทำให้มูลหนี้ละเมิดระหว่างจำเลยที่ 1 กับนายพิเชษฐ์ ตัวแทนเจ้าของรถยนต์ซึ่งโจทก์รับประกันภัยไว้ระงับไปอันเป็นเหตุให้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดโดยอาศัยมูลหนี้ละเมิดหรือไม่ เห็นว่า เมื่อพิจารณาข้อความที่ระบุไว้ในรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีแล้ว มีข้อความสรุปได้ว่า ส่วนความเสียหายของรถยนต์ ยี่ห้อโตโยต้า หมายเลขทะเบียน ฌป 7852 กรุงเทพมหานครนั้น นายพิเชษฐ์ผู้ครอบครองรถยนต์จะใช้สิทธิการซ่อมตามประกันภัยของตน ส่วนความเสียหายจากเหตุดังกล่าวได้เรียกร้องนายปัตทวี เป็นเงินทั้งสิ้น 15,000 บาท ซึ่งนายปัตทวีได้มอบเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่นายพิเชษฐ์แล้ว ไม่ติดใจดำเนินคดีกับฝ่ายนายปัตทวี จากข้อความดังกล่าวแสดงว่านายพิเชษฐ์ ผู้ครอบครองรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ประสงค์ที่จะให้โจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยเป็นผู้รับผิดชอบค่าซ่อมรถยนต์ให้อยู่ในสภาพดีดังเดิมตามสัญญาประกันภัยที่เจ้าของรถยนต์ได้ทำไว้กับโจทก์ ส่วนความเสียหายจากเหตุดังกล่าวได้เรียกร้องจากนายปัตทวีเป็นเงินทั้งสิ้น 15,000 บาท ซึ่งนายปัตทวีได้มอบเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่นายพิเชษฐ์แล้ว ไม่ติดใจดำเนินคดีกับฝ่ายนายปัตทวี นั้น เป็นกรณีที่นายพิเชษฐ์เรียกร้องค่าเสียหายอื่นๆ นอกเหนือจากค่าสินไหมทดแทนในการซ่อมรถยนต์ ที่นายพิเชษฐ์จะพึงได้รับจากการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 ประกอบกับศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้วินิจฉัยปัญหาข้อนี้โดยให้เหตุผลและรายละเอียดต่างๆ ไว้ชอบแล้ว ดังนั้น ข้อตกลงระหว่างนายพิเชษฐ์กับจำเลยที่ 1 ตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี ไม่ทำให้สิทธิในการเรียกร้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสิ้นสุดลง ข้อตกลงดังกล่าวไม่เป็นการระงับข้อพิพาทให้เสร็จสิ้นไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันตามลักษณะสัญญาประนีประนอมยอมความ เมื่อโจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยได้จัดการซ่อมแซมรถยนต์
อันเป็นการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยแล้ว โจทก์ย่อมรับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยที่จะเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์ชดใช้ไปได้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ฎีกาของจำเลยที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share