แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การที่จำเลยกั้นรั้วและปลูกพืชผลในที่ชายตลิ่งอันเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ซึ่งอยู่ระหว่างหน้าที่ดินโจทก์กับลำรางสาธารณะนั้น แม้จะมิได้บังหน้าที่ดินโจทก์ทั้งหมดก็ตาม แต่เมื่อบริเวณหน้าที่ดินโจทก์ที่ยังเป็นที่ว่างอยู่ส่วนมากเป็นหล่มเป็นเลนทำให้โจทก์ไม่ได้รับความสะดวกถูกจำกัดมิให้ใช้หรือได้รับประโยชน์จากการเดินขึ้นลงระหว่างที่ดินโจทก์กับลำรางสาธารณะถือได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ โจทก์จึงมีสิทธิขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนรั้วและพืชผลออกไปได้ตามมาตรา 1337
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลย ให้จำเลยรื้อถอนรั้วและพืชผลที่จำเลยกั้นและปลูกปิดบังหน้าที่ดินโจทก์ออกไป กอไผ่ 2 กอเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงที่ไม่ได้โต้เถียงกันรับฟังได้ว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ 10510 ตามฟ้องร่วมกัน และโจทก์ทั้งสามต่างมีบ้านอยู่อาศัยในที่ดินแปลงนี้ มีลำรางท่าไชยซึ่งเป็นลำรางสาธารณะมีน้ำตลอดปี อยู่หน้าที่ดินโจทก์ด้านทิศตะวันตก ที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินริมลำรางท่าไชยหน้าที่ดินโจทก์ดังกล่าว ซึ่งในหน้าน้ำมีน้ำท่วมถึง แต่ในฤดูแล้งจะไม่มีน้ำ โจทก์ใช้ที่ดินบริเวณหน้าที่ดินโจทก์เป็นทางขึ้นลงเพื่อใช้น้ำที่ลำรางท่าไชยให้กระบือลงกินน้ำ รวมทั้งใช้เดินไปลงเรือสัญจรไปมาด้วย บิดาจำเลยและจำเลยเคยใช้ที่พิพาทขุดบ่อล่อปลามาก่อน เมื่อประมาณ 3-4 ปีมานี้กรมชลประทานทำการขุดลอกลำรางท่าไชยและได้กลบบ่อล่อปลาดังกล่าว ครั้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2520 จำเลยได้กั้นรั้วตามที่โจทก์กล่าวในฟ้องและได้ปลูกพืชผลหลายชนิดในที่พิพาท
ที่จำเลยฎีกาว่า ที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งจำเลยเคยครอบครองมา จำเลยมีสิทธิดีกว่าโจทก์ ย่อมกั้นรั้วและปลูกพืชผลในที่นั้นได้ทั้งที่พิพาทมิได้ปิดบังหน้าที่ดินโจทก์ทั้งหมด โจทก์มีที่ว่างถัดจากที่พิพาทไปทางด้านใต้ใช้ขึ้นลงสู่ลำรางท่าไชยอยู่แล้ว มิได้เดือดร้อนเกินสมควร ศาลชอบที่จะยกฟ้องโจทก์เสียนั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ที่พิพาทอยู่หน้าที่ดินโจทก์ โดยอยู่ระหว่างที่ดินโจทก์กัลลำรางท่าไชยซึ่งเป็นลำรางสาธารณะ หน้าน้ำจะมีน้ำจากลำรางท่าไชยท่วมที่พิพาทตลอดมา สภาพของที่พิพาทจึงเป็นที่ชายตลิ่งอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน โจทก์ทั้งสามต่างมีบ้านอยู่อาศัยในที่ดินของตนมีความจำเป็นต้องเดินไปที่ลำรางท่าไชยเพื่อใช้น้ำและลงเรือสัญจรไปมา แม้ที่พิพาทจะไม่ได้ปิดบังหน้าที่ดินโจทก์ทั้งหมด ยังมีที่ว่างเหลือพอที่โจทก์จะใช้เดินขึ้นลงระหว่างที่ดินโจทก์กับลำรางท่าไชยได้ แต่ก็ได้ความว่าบริเวณหน้าที่ดินโจทก์ที่ยังเป็นที่ว่างอยู่นั้นส่วนมากเป็นหล่มเป็นเลน การที่จำเลยกั้นรั้วและปลูกพืชผลในที่พิพาทย่อมเป็นการใช้สิทธิที่ทำให้โจทก์ไม่ได้รับความสะดวก ถูกจำกัดมิให้ใช้หรือรับประโยชน์จากที่พิพาทเพื่อเดินขึ้นลงระหว่างที่ดินโจทก์กับลำรางท่าไชย ถือได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ มีสิทธิขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนรั้วและพืชผลออกจากที่พิพาทได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1337 ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาตามฎีกาจำเลยที่ว่า กอไผ่ 2 กอตามฟ้องของจำเลยนั้นตามคำให้การของจำเลยต่อสู้ว่า กอไผ่ 2 กอนี้บิดาจำเลยปลูกไว้ในที่สาธารณะริมลำรางท่าไชย แต่ปรากฏจากการเผชิญสืบที่พิพาทของศาลชั้นต้นว่า กอไผ่อยู่ห่างจากแนวหลักหินที่กรมชลประทานปักเป็นแนวเขตลำรางไปทางทิศตะวันออก แสดงว่ากอไผ่มิได้อยู่ในเขตที่ดินสาธารณะ ได้ความว่าบิดาจำเลยเคยถือกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินโฉนดของโจทก์และครอบครองที่ดินด้านนี้มาก่อนขายให้โจทก์ที่ 1 ทั้งกอไผ่ก็อยู่แนวเดียวกับคอกควายของโจทก์ที่ 3 จึงน่าเชื่อว่าบิดาจำเลยปลูกกอไผ่ในเขตโฉนดของโจทก์ซึ่งบิดาจำเลยครอบครองอยู่ในขณะนั้น เมื่อบิดาจำเลยขายที่ดินส่วนของตนให้แก่โจทก์ที่ 1 กอไผ่ก็ย่อมตกเป็นของโจทก์ ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
ปัญหาสุดท้ายที่จำเลยฎีกาว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าทนายความแทนโจทก์สูงกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดนั้น เห็นว่า อัตราค่าทนายความที่ศาลจะกำหนดให้คู่ความใช้แทนกันตามตาราง 6 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2521 ศาลชั้นต้นมีอำนาจกำหนดค่าทนายความชั้นสูงสำหรับคดีไม่มีทุนทรัพย์ไม่เกิน 3,000 บาท คดีนี้เป็นคดีที่มีทุนทรัพย์และไม่มีทุนทรัพย์รวมกันที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจกำหนดให้จำเลยใช้ค่าทนายความแทนโจทก์ 1,200 บาท จึงเป็นจำนวนที่ไม่สูงกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด”
พิพากษายืน