แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นผู้เยาว์เป็นบุตรของนาย ว. นาง ส. ซึ่งอยู่กินเป็นสามีภรรยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรส ว. ไม่ได้จดทะเบียนว่าโจทก์เป็นบุตรหรือศาลพิพากษาว่าเป็นบุตร ว. จึงมิใช่ผู้แทนโดยชอบธรรมของโจทก์ และไม่มีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์ผู้เยาว์
การร้องขอให้ศาลตั้งผู้แทนเฉพาะคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 6 จะมีได้เฉพาะในกรณีที่ผู้เสียหายเป็นผู้เยาว์ไม่มีผู้แทนโดยชอบธรรม ฯลฯ หรือผู้แทนโดยชอบธรรมไม่สามารถจะทำการตามหน้าที่โดยเหตุใดเหตุหนึ่งรวมทั้งมีผลประโยชน์ขัดกับผู้เยาว์ เมื่อโจทก์มีมารดาเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมและสามารถจะทำการตามหน้าที่ได้ กรณีจึงไม่ต้องด้วยมาตรา 6 ที่จะให้ศาลตั้งผู้แทนเฉพาะคดีได้
ย่อยาว
คดี 2 สำนวนนี้จำเลยเป็นคนเดียวกัน ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาพิพากษา
สำนวนแรกโจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2519 เวลากลางวันจำเลยได้บังอาจใช้มีดบางปลายแหลมยาวประมาณ 9 นิ้ว ครึ่ง เป็นอาวุธแทงทำร้ายร่างกายนายนาวีได้รับบาดเจ็บสาหัส เหตุเกิดที่แขวงแสนแสบเขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร เจ้าพนักงานจับจำเลยและยึดมีดปลายแหลม 1 เล่มเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 และสั่งริบของกลาง
สำนวนหลังโจทก์ฟ้องมีใจความเหมือนสำนวนแรกแล้วบรรยายฟ้องต่อไปว่าการกระทำของจำเลยมีเจตนาร้ายทารุณ ปราศจากศีลธรรม กระทำโดยมีเจตนาจะฆ่าโจทก์แต่ไม่บรรลุผลตามเจตนา เพราะมีบุคคลอื่นช่วยป้องกันไว้ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 289(5), 80, 81
จำเลยให้การปฏิเสธทั้งสองสำนวน
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ตามฟ้องสำนวนแรก และมีความผิดตามมาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 ตามฟ้องสำนวนหลัง แต่ให้ลงโทษตามมาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 ซึ่งเป็นบทหนักตามมาตรา 90 ให้จำคุกจำเลย 10 ปี ของกลางริบให้ยกฟ้องในข้อหาตามมาตรา 289(5) ในสำนวนหลัง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยเรื่องการตั้งผู้แทนเฉพาะคดีในสำนวนหลังว่าข้อเท็จจริงได้ความว่า นายหวังกับนางสะเลาะห์ หรือซาเลาะอยู่กินเป็นสามีภรรยากันมา 35 – 36 ปีแล้ว โดยมิได้จดทะเบียนสมรส นายนาวีโจทก์ (ผู้เสียหายในสำนวนแรก) เป็นบุตรของนายหวังกับนางสะเลาะห์และยังเป็นผู้เยาว์ นางสะเลาะห์ประกอบอาชีพพายเรือค้าขายอาหาร ต้องถือว่าโจทก์เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนางสะเลาะห์ อยู่ใต้อำนาจปกครองของนางสะเลาะห์ ไม่ปรากฏว่านายหวังได้จดทะเบียนว่าโจทก์เป็นบุตรหรือศาลพิพากษาว่าโจทก์เป็นบุตรนายหวัง นายหวังจึงไม่เป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์ผู้เยาว์ การร้องขอให้ศาลตั้งผู้แทนเฉพาะคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 6 จะมีได้เฉพาะในกรณีที่ผู้เสียหายเป็นผู้เยาว์ไม่มีผู้แทนโดยชอบธรรม ฯลฯ หรือผู้แทนโดยชอบธรรมไม่สามารถจะปฏิบัติการตามหน้าที่โดยเหตุใดเหตุหนึ่ง รวมทั้งมีผลประโยชน์ขัดกันกับผู้เยาว์เมื่อข้อเท็จจริงไม่ได้ความว่านางสะเลาะห์ผู้แทนโดยชอบธรรมของโจทก์ไม่สามารถจะทำการตามหน้าที่ได้ทั้งยังได้ความว่า นางสะเลาะห์ประกอบอาชีพพายเรือค้าขายอาหาร และยังได้มาเบิกความเป็นพยานโจทก์ในสำนวนแรกด้วย ดังนี้ กรณีไม่ต้องด้วยมาตรา 6 ที่จะขอให้ศาลตั้งผู้แทนเฉพาะคดีได้ ฟ้องของโจทก์ในสำนวนหลังจึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายต้องยกฟ้อง
ฎีกาของจำเลยในสำนวนแรก ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงเชื่อว่าจำเลยได้แทงทำร้ายร่างกายผู้เสียหายโดยเจตนา หาใช่กระทำเพื่อป้องกันไม่ บาดแผลผู้เสียหายร้ายแรง สมควรลงโทษสถานหนัก
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่าสำนวนแรกจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ให้จำคุกจำเลย 10 ปี ยกฟ้องสำนวนหลังนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์