แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ปลอมเอกสารกู้ 4 ฉบับว่าโจทก์ 4 คนกู้แต่ละฉบับในวันเวลาเดียวกัน เป็นการกระทำแยกกันได้แต่ละฉบับ จำเลยนำเอกสารปลอมทั้ง 4 ฉบับไปแสดงต่อกรรมการสอบสวน เป็นความผิดตาม มาตรา 265,268 กระทงหนึ่ง จำเลยนำเอกสารปลอมไปฟ้องโจทก์แต่ละคนเป็น 4 สำนวนเป็นความผิดอีก 4 กระทง ศาลเรียงกระทงลงโทษ 5 กระทงตาม มาตรา 265,268
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุกจำเลยที่ 1 กระทงละ 6 เดือน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265, 268 รวม 5 กระทง 2 ปี 6 เดือน จำคุกจำเลยนอกนั้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 6 เดือน จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ตามข้อฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ว่า ฟ้องโจทก์เกี่ยวด้วยเรื่องระยะเวลาเกิดเหตุ ทำให้จำเลยหลงข้อต่อสู้เป็นฟ้องเคลือบคลุมนั้น พิเคราะห์แล้วตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ที่ว่า “เมื่อระหว่างวันที่ 22 ตุลาคม 2519 ถึงวันที่ 16 ธันวาคม 2519 วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยได้บังอาจร่วมกันปลอมสัญญากู้ยืมเป็นเอกสารสิทธิทั้ง 4 ฉบับ ฯลฯ”โจทก์นำสืบว่าจำเลยร่วมกันปลอมเอกสารสัญญากู้ทั้ง 4 ฉบับ ในวันที่ 30 ตุลาคม 2519 เวลาประมาณ 19 นาฬิกา ซึ่งอยู่ในระยะเวลาดังกล่าวในฟ้อง ไม่แตกต่างกับฟ้อง ทั้งจำเลยต่อสู้คดีอ้างฐานที่อยู่ในวันที่ 30 ตุลาคม 2519 มิได้หลงข้อต่อสู้ประการใดฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
ปัญหาต่อไปตามข้อฎีกาที่ว่า ที่ศาลล่างทั้งสองเรียงกระทงลงโทษจำเลยที่ 1 รวม 5 กระทงมานั้น ชอบหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ปลอมเอกสารสัญญากู้หมาย จ.5, จ.6, จ.7 และ จ.8 มารวม 4 ฉบับ แม้จำเลยจะร่วมกันปลอมในวันเวลาเดียวกันก็ตาม ในทันทีที่ปลอมเอกสารฉบับหนึ่งก็เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารขึ้นแล้ว โดยสภาพของการกระทำแยกออกจากกันได้ จึงเป็นความผิดหลายกรรม เมื่อจำเลยที่ 1 ทำและใช้หรืออ้างเอกสารที่ปลอมเหล่านั้นต่อกรรมการสอบสวนอำเภอปทุมรัตต์ก็เป็นความผิดกระทงหนึ่ง ต่อมาจำเลยที่ 1 นำเอกสารสัญญาปลอมดังกล่าวไปฟ้องโจทก์แต่ละคนเป็น 4 สำนวน โดยมุ่งหมายให้โจทก์แต่ละคนต้องรับผิดต่อจำเลยที่ 1 เป็นเรื่อง ๆ ไป แยกได้ต่างหากจากกัน ก็ย่อมเป็นความผิดอีก 4 กระทง ฉะนั้นที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 มารวม 5 กระทง โดยเรียงกระทงลงโทษและกำหนดโทษมากระทงละ 6 เดือนนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน