แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยได้ฟ้องกรมสรรพากรโจทก์ขอให้ศาลเพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาการฟ้องคดีดังกล่าวเท่ากับเป็นการใช้สิทธิอุทธรณ์คำวินิจฉัยอุทธรณ์ต่อศาลตามประมวลรัษฎากรมาตรา30(2)จึงอาจถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขหรือเพิกถอนโดยคำพิพากษาของศาลได้โจทก์จะมีสิทธิได้รับชำระเงินค่าภาษีอากรหรือไม่จึงต้องรอคำวินิจฉัยของศาลก่อนดังนั้นการที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้ภาษีอากรที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยเป็นคดีนี้อีกจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีดังกล่าวนอกจากนี้การที่จำเลยยังไม่ชำระเงินค่าภาษีอากรตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ก็ไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์จึงไม่เป็นเหตุให้โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ การที่กรมสรรพากรโจทก์แจ้งการประเมินภาษีให้จำเลยทราบเท่ากับเป็นการสั่งให้จำเลยชำระค่าภาษีอากรตามที่ประมวลรัษฎากรให้อำนาจไว้หากจำเลยไม่ชำระก็อาจถูกยึดทรัพย์มาขายทอดตลาดโดยไม่ต้องมีการฟ้องคดีอีกถือได้ว่าเป็นการที่เจ้าหนี้ได้ทำการอื่นใดอันนับว่ามีผลเป็นอย่างเดียวกันกับการฟ้องคดีเพื่อให้ใช้หนี้ตามที่เรียกร้องซึ่งทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา173เดิม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระภาษีอากรจำนวน 1,710, 084.34 แก่โจทก์ พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การว่า ฟ้องโจทก์เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีหมายเลขดำที่ 150/2533 คดีหมายเลขแดงที่ 196/2534ของศาลภาษีอากรกลาง จึงต้องห้ามมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาอีกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 วรรคแรกขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้ววินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ในชั้นนี้คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ซึ่งในปัญหาดังกล่าว ปรากฏข้อเท็จจริงตามคำฟ้องของโจทก์ว่าก่อนฟ้องคดีนี้ จำเลยที่ 1 ได้ฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เกี่ยวกับภาษีที่จำเลยที่ 1 จะต้องชำระในคดีนี้ และคดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 ฟ้องคดีดังกล่าวต่อศาล เท่ากับเป็นการใช้สิทธิอุทธรณ์คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาลตามความในมาตรา 30(2) แห่งประมวลรัษฎากรคำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าวจึงอาจถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขหรือเพิกถอนโดยคำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลได้ โจทก์จะมีสิทธิได้รับชำระเงินค่าภาษีอากรตามที่เจ้าพนักงานประเมินได้ทำการประเมินและคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้มีคำวินิจฉัยแล้วหรือไม่จึงต้องรอคำวินิจฉัยชี้ขาดของศาลเสียก่อน ดังนั้น การที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ภาษีอากรที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยเป็นคดีนี้จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีดังกล่าว นอกจากนี้การที่จำเลยที่ 1 ยังไม่ชำระเงินค่าภาษีอากรตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ก็ไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ และไม่เป็นเหตุให้โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ ส่วนข้อที่โจทก์อุทธรณ์ว่า หากศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์ชนะในคดีที่จำเลยที่ 1 ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์แล้ว อาจก่อให้เกิดปัญหาในการเรียกเก็บและบังคับให้ชำระค่าภาษีอากรค้างรายนี้ เนื่องจากคดีจะขาดอายุความนั้น เห็นว่า การที่โจทก์แจ้งการประเมินภาษีให้จำเลยที่ 1 ทราบ เท่ากับเป็นการสั่งให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าภาษีอากรประเมิน ตามที่ประมวลรัษฎากรบัญญัติให้อำนาจไว้ ซึ่งถ้าหากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าภาษีอากรภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดก็อาจถูกยึดทรัพย์มาขายทอดตลาดโดยไม่จำต้องมีการฟ้องคดีอีกการที่โจทก์แจ้งการประเมินให้จำเลยที่ 1 ทราบ จึงมีผลบังคับตามกฎหมายที่ถือได้ว่า เป็นการที่เจ้าหนี้ได้ทำการอื่นใดอันนับว่ามีผลเป็นอย่างเดียวกันกับการที่เจ้าหนี้ฟ้องคดีเพื่อให้ใช้หนี้ตามที่เรียกร้อง ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 173 เดิม แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งมีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลงคดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้องของโจทก์ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน