คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 232/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำให้การของจำเลยที่ว่า หนังสือมอบอำนาจไม่สมบูรณ์ตามกฎหมายนั้น จำเลยไม่มีประเด็นนำสืบเพราะมิได้ให้การว่าไม่สมบูรณ์ตามกฎหมายด้วยเหตุอย่างไร
ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
การค้ำประกันหนี้ในอนาคตนั้น แม้ตามสัญญาค้ำประกันจะมีข้อความว่า การถอนสัญญาค้ำประกันต้องได้รับหนังสือยินยอมจากคณะกรรมการบริษัทโจทก์ก่อนก็ตาม แต่เมื่อผู้ค้ำประกันได้มีหนังสือบอกเลิกการค้ำประกันไปให้บริษัทโจทก์ทราบแล้ว แต่กรรมการผู้จัดการบริษัทโจทก์ก็ทิ้งเรื่องไว้ตั้ง 5 เดือน แล้วจึงเสนอประธานกรรมการบริษัทโจทก์ ระหว่างนั้นบริษัทโจทก์ก็ยังส่งข้าวสารไปยังลูกหนี้จนเกิดความเสียหายขึ้น แล้วจึงได้ให้ลูกหนี้ออกจากหน้าที่และแจ้งให้ผู้ค้ำประกันรับผิดในความเสียหาย เช่นนี้ถือว่า บริษัทโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตทำให้ผู้ค้ำประกันได้รับความเสียหาย ผู้ค้ำประกันจึงไม่ต้องรับผิดในหนี้นั้น

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ ๑ ทั้งสองสำนวนใช้เงินให้โจทก์ในฐานะที่จำเลยที่ ๑ เป็นผู้จัดการบริษัทโจทก์สาขาเบตง แล้วยักยอกเงินค่าข้าวสารไปเป็นเงินในสำนวนแรก ๓๐,๐๐๐ บาท และในสำนวนหลัง ๕๕,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๒ ทั้งสองสำนวนเป็นผู้ค้ำประกันหนี้รายนี้จึงขอให้จำเลยที่ ๒ รับผิดในหนี้รายนี้ด้วย
จำเลยที่ ๑ ทั้งสองสำนวนให้การว่า หนังสือมอบอำนาจท้ายฟ้องมิใช่ฉบับที่แท้จริงและไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย จำเลยมิได้ยักยอกเงินดังกล่าว หากมีเงินขาดหายไปก็เพราะการค้าขาดทุน
จำเลยที่ ๒ ในสำนวนแรกให้การว่าไม่ต้องรับผิดเพราะจำเลยที่ ๑ มิได้ยักยอกเงินตามฟ้อง เป็นเรื่องค้าขายขาดทุน
จำเลยที่ ๒ ในสำนวนหลังให้การว่า หนังสือมอบอำนาจไม่สมบูรณ์เพราะผู้มอบอำนาจไม่ได้อยู่ตามวันและสถานที่ซึ่งปรากฏในหนังสือมอบอำนาจ และต่อสู้ว่าได้มีหนังสือขอถอนการค้ำประกันก่อนที่จะเกิดความเสียหาย ๑ เดือน แต่บริษัทโจทก์ยังขืนส่งข้าวสารให้จำเลยที่ ๑ จนเกิดการเสียหายขึ้น และบริษัทโจทก์ไม่แจ้งการถอนค้ำประกันของจำเลยต่อประธานกรรมการ จนเนิ่นนานไปถึง ๕ เดือน เป็นการทำการไม่สุจริตอย่างร้ายแรง เจตนากลั่นแกล้งให้จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิด
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีทั้งสองสำนวน
จำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑,๒ ในสำนวนแรกและจำเลยที่ ๒ ในสำนวนหลังฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ ๑ ให้การว่าหนังสือมอบอำนาจไม่สมบูรณ์ตามกฎหมายนั้น มิได้อ้างว่าไม่สมบูรณ์ตามกฎหมายด้วยเหตุอย่างไร จึงไม่มีประเด็นนำสืบ และปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องแม้มิได้กล่าวอ้างมาแต่ศาลชั้นต้น ก็กล่าวอ้างในชั้นอุทธรณ์ฎีกาได้ เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน และได้วินิจฉัยเกี่ยวกับการค้ำประกันของจำเลยที่ ๒ ในสำนวนหลังว่าเป็นการค้ำประกันจำเลยที่ ๑ เกี่ยวกับความเสียหายอันเกี่ยวกับการเงินทรัพย์สินของบริษัทโจทก์ และจำเลยที่ ๒ ได้มีหนังสือถอนสัญญาค้ำประกันไปยังบริษัทโจทก์แล้วก่อนที่จะเกิดความเสียหายขึ้น แม้ตามสัญญาค้ำประกันจะมีข้อความว่าการถอนสัญญาค้ำประกันจะต้องได้รับหนังสือยินยอมจากคณะกรรมการบริษัทจังหวัดยะลาจำกัดก่อนก็ตาม แต่กรรมการผู้จัดการบริษัทโจทก์ก็ทิ้งเรื่องไว้ตั้ง ๕ เดือน แล้วจึงเสนอประธานกรรมการบริษัทโจทก์ ระหว่างนั้นบริษัทโจทก์ก็ส่งข้าวสารไปยังสาขาเบตงจนเกิดเสียหายขึ้นแล้วจึงสั่งให้จำเลยที่ ๑ ออกจากหน้าที่ และแจ้งให้จำเลยที่ ๒ รับผิดในเงิน ๕๕,๐๐๐ บาท เช่นนี้ ถือได้ว่าบริษัทโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตทำให้จำเลยที่ ๒ ผู้ค้ำประกันได้รับความเสียหาย จำเลยที่ ๒ ผู้ค้ำประกันจึงไม่ต้องรับผิด
เมื่อวินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้ว พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ ๒ ในสำนวนที่ ๒ นอกจากนั้นคงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share