แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในกรณีที่ศาลอุทธรณ์ไม่เชื่อคำพยานโจทก์และปล่อยจำเลยอื่นที่อุทธรณ์ แต่จำเลยนี้ถูกฟ้องในข้อหาเดียวกันมิได้อุทธรณ์ จำเลยนี้จะฎีกาว่าควรจะปล่อยจำเลยนี้ผู้ที่มิได้อุทธรณ์นั้นด้วย ย่อมไม่ได้เพราะปัญหาที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่เชื่อพยานโจทก์และปล่อยจำเลยอื่นที่ยื่นอุทธรณ์ขึ้นมานั้น เป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามที่พยานเบิกความพาดพิงถึงจำเลยที่อุทธรณ์ขึ้นมาเป็นคน ๆ ไป ทั้งยังมีคำรับสารภาพของจำเลยแต่ละคนอีกด้วย ดังนี้ จึงมิใช่เป็นเหตุในส่วนลักษณะคดี.
หมายเหตุ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้ง 4 ฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยทั้ง 4 ฐานรับของโจร จำเลยที่ 2, 3, 4 อุทธรณ์ จำเลยที่ 1 ไม่อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องปล่อยจำเลยที่ 2, 3, 4 ดังนี้ จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ควรพิพากษาปล่อยจำเลยที่ 1 ด้วยเพราะเป็นเหตุในลักษณะคดี เช่นนี้ ศาลฎีการับวินิจฉัยให้.
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยร่วมกันลักหรือรับของโจรซึ่งโคของนายจอม เหลาแตว ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๓๕, ๓๕๗, ๘๓ และเพิ่มโทษจำเลยที่ ๔ ตามมาตรา ๙๒
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธว่ามิได้กระทำผิด จำเลยที่ ๔ รับว่าเคยต้องโทษจริง
ศาลชั้นต้นเชื่อว่าจำเลยทั้งสี่กระทำผิดฐานรับของโจรตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๕๗ พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยคนละ ๑ ปี ๖ เดือน จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ อายุ ๑๘ และ ๒๐ ปีตามลำดับ ลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกคนละ ๑ ปี เพิ่มโทษจำเลยที่ ๔ อีกหนึ่งในสาม คงจำคุก ๒ ปี
จำเลยที่ ๒, ๓, ๔ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คำเบิกความพยานโจทก์ไม่น่าเชื่อ คำรับสารภาพจำเลยชั้นสอบสวนจำเลยว่ารับเพราะถูกเจ้าพนักงานทำร้าย ไม่พอฟังลงโทษจำเลยได้ พยานฐานที่อยู่ของจำเลยมีน้ำหนักฟังได้ พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องปล่อยนายเจริญจำเลยที่ ๒ นายแท่งจำเลยที่ ๓ นายไงจำเลยที่ ๔ ไป
โจทก์ฎีกาว่า นายเจริญนายแท่งนายไงจำเลยได้กระทำความผิดดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย
นายโกกจำเลยที่ ๑ ฎีกาว่า เมื่อศาลอุทธรณ์ไม่เชื่อคำพยานโจทก์ จำเลยถูกฟ้องในข้อหาอย่างเดียวกัน แม้จำเลยไม่ได้อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาปล่อยจำเลยอื่นก็ต้องปล่อยจำเลยที่ ๑ ด้วย เพราะเป็นเหตุในลักษณะคดี
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาที่โจทก์ฎีกาว่า นายเจริญ นายแท่ง นายไง ได้กระทำผิดตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าคดียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำผิด ที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้นั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่นายโกกจำเลยที่ ๑ ฎีกาว่า เมื่อศาลอุทธรณ์ไม่เชื่อคำพยานโจทก์ แต่จำเลยถูกฟ้องในข้อหาอย่างเดียวกัน แม้จำเลยไม่ได้อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาปล่อยจำเลยอื่น ก็ควรปล่อยจำเลยผู้นี้ด้วย เพราะเป็นเหตุในลักษณะคดีนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ปัญหาที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่เชื่อพยานโจทก์ปล่อยจำเลยอื่นที่อุทธรณ์ขึ้นมานั้น เป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามที่พยานเบิกความพาดพิงถึงจำเลยที่อุทธรณ์ขึ้นมาเป็นคน ๆ ไป ทั้งยังมีคำรับสารภาพของจำเลยแต่ละคนอีกด้วย มิใช่เป็นเหตุในลักษณะคดี พิพากษายืน.