คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 672-673/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อตกลงของคู่ความที่ศาลได้จดไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาในระหว่าง พิจารณาคดีว่า หากจำเลยชนะคดีและโจทก์ไม่รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างไปภายใน 3 วัน โจทก์ยอมใช้ค่าเสียหายให้วันละ 200 บาทนั้น เป็นเรื่องพิพาทกันในชั้นขอให้คุ้มครองสิทธิของคู่ความในระหว่างคดีก่อนมีคำพิพากษา คู่ความในระหว่างคดีก่อนมีคำพิพากษา คู่ความจึงขอให้บังคับตามข้อตกลงในคดีเดิมนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264,260(2)
ส่วนค่าเสียหายตามข้อตกลงนั้นถือว่าเป็นเบี้ยปรับ และศาลมีอำนาจลดลงได้ตามสมควร ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383

ย่อยาว

คดีนี้ มีปัญหาเกี่ยวกับข้อตกลงของคู่ความในระหว่างพิจารณาคดีโดยศาลได้จดรายงานกระบวนพิจารณาข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยไว้ว่า”3. เมื่อคดีถึงที่สุด หากจำเลยเป็นผู้ชนะคดีแต่ยังมีสิ่งปลูกสร้างของโจทก์อยู่บนที่พิพาท ก็ยอมให้โจทก์รื้อถอนไปได้ภายใน 3 วันถ้ายังไม่รื้อถอนไปภายในกำหนดนั้น ไม่ว่าเพราะเหตุใดโจทก์ยอมใช้ค่าเสียหายให้จำเลยอีกวันละ 200 บาทจนกว่าจะรื้อถอนไปเสร็จทั้งหากมีการฟ้องร้องกันในกรณีนี้แล้ว โจทก์จะไม่โต้เถียงเรื่องค่าเสียหายข้อนี้เลย” ต่อมาเมื่อศาลพิพากษาคดีนั้นให้จำเลยชนะคดี และคดีถึงที่สุดแล้ว จำเลยจึงขอบังคับตามข้อตกลงนั้นโจทก์เถียงว่าจำเลยจะบังคับในคดีเดิมนั้นไม่ได้ ต้องฟ้องเป็นคดีใหม่

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ศาลมีอำนาจสั่งในคดีนั้นได้ และเห็นว่าค่าเสียหายมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับซึ่งมากเกินไป จึงลดลงโดยให้โจทก์ใช้เพียง 12,000 บาท

โจทก์จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า กรณีนี้เป็นเรื่องพิพาทกันในชั้นขอให้คุ้มครองสิทธิของคู่ความในระหว่างคดีก่อนมีคำพิพากษา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 และ 260(2) ให้ถือว่าคำสั่งนั้นคงมีผลต่อไปจนกว่าจะได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น ดังนี้ ย่อมแสดงว่าคำสั่งเรื่องคุ้มครองสิทธินั้นมีผลบังคับกันได้ไม่ต้องฟ้องเป็นคดีใหม่ ฉะนั้น ข้อตกลงในระหว่างพิจารณาคดีของคู่ความดังกล่าวจึงใช้บังคับกันได้อยู่ในตัว ส่วนเรื่องค่าเสียหายนั้นเห็นว่า ที่พิพาทมีราคาเพียง 5,000 บาท ค่าเสียหายวันละ 200 บาท จึงเป็นเบี้ยปรับที่สูงเกินไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 ศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจลดลงได้ และเห็นว่าที่ศาลล่างกำหนดมาชอบแล้ว จึงพิพากษายืน

Share