คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 437/2505

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

นายเสริมผู้เสียหาย ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านเคยไกล่เกลี่ยเรื่องจำเลยกับผู้อื่นพิพาทกันเรื่องบุกรุก ทำให้เสียทรัพย์ แต่ไม่ตกลงกันต่อมานายถ่ายกำนัน นายหันผู้ใหญ่บ้าน มาดูที่เกิดเหตุและพูดไกล่เกลี่ยอีก จำเลยกับคู่กรณีไม่ยอมตกลงกัน จำเลยพูดต่อหน้านายถ่ายและนายหันว่า’ผู้ใหญ่เสริมไม่มีศีลธรรม ไม่ซื่อตรง จะกินเงินผม’และศาลฟังข้อเท็จจริงว่า นายเสริมได้พูดเรียกร้องเงิน 50 บาทจากจำเลยเกี่ยวกับการพิพาทของจำเลยจริงดังนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการแสดงข้อความโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม ป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรมไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยดูหมิ่นนายเสริมผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นเจ้าพนักงานต่อหน้านายถ่ายกับพวกว่า “ผู้ใหญ่เสริมไม่ซื่อตรงไม่มีศีลธรรม จะกินเงินผม” เนื่องจากนายเสริมไกล่เกลี่ยคดีนายครึนหาว่าจำเลยบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326

จำเลยให้การปฏิเสธแล้วกลับรับว่าพูดว่าผู้เสียหายจริง แต่พูดตามความจริง ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นฟังว่า นายเสริมเรียกร้องเงินจากจำเลย จำเลยกล่าวตามความจริงโดยสุจริต เพื่อความชอบธรรมป้องกันตนตามคลองธรรมได้รับยกเว้นโทษตามมาตรา 329 และ 330 พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยกล่าวแสดงไปโดยสุจริตตามมาตรา 329(1)ไม่มีความผิด พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218, 222 ศาลอุทธรณ์ฟังว่า นายเสริมได้เรียกร้องเอาเงินจากจำเลยจริง ตามที่จำเลยพูดว่านายเสริมต่อนายถ่าย จึงเป็นการแสดงข้อความโดยสุจริต เพื่อความชอบธรรม ป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม ไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามมาตรา 329(1) เมื่อวินิจฉัยเช่นนี้แล้ว ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยไม่มีสิทธิพิสูจน์ความจริงจึงตกไป พิพากษายืน

Share