แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
่จำเลยเป็นตำรวจกองบังคับการตำรวจรถไฟมีหน้าที่อารักขาพนักงานรถไฟ สืบสวนคดี และถ่ายรูปประกอบคีดในเขตการรถไฟ แต่กองบังคับการไม่มีปืนพกและกล้องถ่ายรูปใช้ จึงให้จำเลยเบิกจากกองกำกับการตำรวจรถไฟเพื่อใช้ในราชการ เจ้าหน้าที่ได้มอบปืนพก 1 กระบอก และกล้องรูป 1 กล้อง ให้แก่ จำเลยไปเพื่อใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลย ต่อมาจำเลยหลบหนีราชการและได้เบียดบังเอาปืนและกล้องถ่ายรูปนั้นไว้เป็นของตนโดยทุจริต ดังนี้ จำเลยมิใช่เจ้าพนักงานซึ่ง ทำจัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ดังบัญญัติไว้ในมาตรา 147 แห่ง ประมวลกฎหมายอาญา จำเลยจึงไม่ผิดตามมาตราซึ่ง แต่ผิดตามมาตรา 158
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลย ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๗, ๑๕๘, ๙๑ และขอให้ใช้ราคาทรัพย์กับนับโทษต่อ
จำเลยให้การรับสารภาพ โจทก์ขอสืบพยานประกอบ ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยเป็นตำรวจกองบังคับการตำรวจรถไฟ มีหน้าที่อารักขาพนักงานรถไฟสืบสวนคดีและถ่ายรูปประกอบคดีในเขตการรถไฟ แต่กองบังคับการไม่ปืนพกและกล้องถ่ายรูปใช้ จึงให้จำเลยเบิกจากกองกำกับการตำรวจรถไฟเพื่อใช้ในราชการ เจ้าหน้าที่ได้มอบปืนพก ๑ กระบอกพร้อมซองใส่กระสุนและกระสุนปืนให้แก่ จำเลยไป ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้มอบกล้องถ่ายรูป ๑ กล้องให้แก่จำเลยไปอีกเพื่อไปใช้ในราชการ เวลาต่อมาจำเลยได้ลาราชการ แล้วหลบหนีราชการไป จำเลยได้เบียดบังเอาปืนและกล้องถ่ายรูปที่ได้รับมอบไว้นั้นเป็นของตนโดยทุจริต
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยมิได้มีหน้าที่เป็นผู้ปกครองรักษาทรัพย์ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๗ พิพากษาว่าจำเลยผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๘,๙๑ รวม ๒ กระทง ลดฐานรับสารภาพให้กึ่งหนึ่งตามมาตรา ๗๘ คงจำคุก ๒ ปี และให้นับโทษต่อคดีอาญาแดงของศาลแขวงพระนครเหนือ กับให้จำเลยใช้ราคาทรัพย์ที่ยังขาดอยู่ตามที่โจทก์ขอ คำขอที่ให้ลงโทษตามมาตรา ๑๔๗ ให้ยกเสีย
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา ๑๔๗ ด้วย
่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่ปรากฎหน้าที่ของจำเลยก็คือ ทำการอารักพนักงานรถไฟ ดังบัญญัติในมาตรา ๑๔๗ การที่จำเลยรับปืนและกล้องถ่ายรูปไว้ ก็มีหน้าที่จะปกครองหรือรักษาไว้เพื่อใช้ในการปฏิบัติตามราชการเกี่ยวแก่หน้าที่ของจำเลยเท่านั้น การกระทำดังกล่าวกฎหมายได้บัญญัติเป็นความผิดไว้ตามมาตรา ๑๕๘ แล้ว หาเป็นความผิดตามมาตรา ๑๔๗ ไม่ พิพากษายืน