คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2315/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมจำเลยเป็นผู้เช่าตึกพิพาทจากส. ต่อมาได้ตกลงเลิกสัญญาเช่าต่อกันและมีการทำสัญญาเช่ากันใหม่โดย จ. พี่ชายจำเลยเป็นผู้เช่าจาก ก.เจ้าของที่ดินและตึกพิพาทแต่จำเลยยังคงอยู่ในตึกพิพาทโดยอาศัยสัญญาเช่าระหว่าง จ. กับ ก. โจทก์เป็นผู้ซื้อที่ดินและตึกพิพาทจาก ก. ภายหลังที่จำเลยกับ ส.เลิกสัญญาเช่าต่อกันแล้วจำเลยย่อมไม่อยู่ในฐานะเป็นผู้เช่าตึกพิพาทดังนี้ โจทก์จึงฟ้องขับไล่จำเลยโดยไม่ฟ้อง จ. ผู้เช่าไม่ได้และจะเรียกค่าเช่าที่ค้างกับค่าเสียหายที่จำเลยไม่ยอมออกจากที่เช่าก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน
จำเลยอ้างเอกสารที่แสดงการยกเลิกเพิกถอนสัญญาเช่าระหว่างจำเลยกับ ส. เป็นพยานหลักฐาน แม้จำเลยจะมิได้ส่งสำเนาให้โจทก์ก่อนวันสืบพยานนัดแรกไม่น้อยกว่า 3 วันอันเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 แต่เมื่อเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี ทั้งการรับฟังก็ไม่ทำให้โจทก์เสียเปรียบแต่ประการใด เพราะจำเลยได้อ้างก่อนสืบพยานโจทก์ และส่งสำเนาให้โจทก์ก่อนวันสืบพยานจำเลย โจทก์ยังมีโอกาสที่จะขออนุญาตต่อศาลสืบหักล้างได้อยู่ดังนี้ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลจึงรับฟังเอกสารนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาเช่าตึกแถวเลขที่ 256 จากนายสุรอมัตซิงห์ต่อมาเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2513 โจทก์รับซื้อและรับโอนกรรมสิทธิ์ตึกแถวเลขที่ดังกล่าว พร้อมที่ดินจากนายกุรดิษฐ์ โจทก์แจ้งให้จำเลยทราบว่าถ้าสัญญาเช่าครบกำหนดแล้ว โจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยเช่าต่อไป ให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่เช่าและชำระค่าเช่าที่ค้างตั้งแต่เดือนกันยายน 2513 ภายใน15 วันแก่โจทก์ แต่จำเลยไม่ยอมออกจากห้องเช่า จึงฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยพร้อมด้วยบริวาร ให้จำเลยใช้ค่าเช่าและค่าเสียหาย

จำเลยให้การว่า นายสุรอมัตซิงห์ไม่ใช่เจ้าของตึกและที่ดิน จึงไม่มีอำนาจให้เช่า จำเลยไม่ได้เช่าตึกพิพาทจากนยสุรอมัตซิงห์ ฯลฯ

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยทำสัญญาเช่าตึกพิพาทจากนายสุรอมัตซิงห์ตามเอกสารหมาย จ.4 คู่ฉบับหมาย ล.2 มีกำหนด 3 ปี ต่อมาวันที่ 13 สิงหาคมพ.ศ. 2513 นายสุรอมัตซิงห์และจำเลยตกลงเลิกสัญญาเช่าต่อกันโดยได้มีการหมายเหตุยกเลิกสัญญาเช่าไว้ในเอกสารหมาย ล.2 และมีการทำสัญญาเช่ากันใหม่โดยนายเจริญ พี่ชายจำเลยเป็นผู้เช่าจากนายกุรดิษฐ์ซึ่งมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ที่ดินและตึกพิพาทในโฉนด โจทก์ซื้อที่ดินและตึกพิพาทจากนายกุรดิษฐ์ภายหลังที่จำเลยกับนายสุรอมัตซิงห์เลิกสัญญาเช่าต่อกันแล้ว แต่จำเลยยังคงอยู่ในตึกพิพาทต่อมาโดยอาศัยสัญญาเช่าระหว่างนายเจริญกับนายกุรดิษฐ์ เพราะจำเลยเป็นหุ้นส่วนทำการค้าอยู่กับนายเจริญ นายกุรดิษฐ์ผู้ขายได้มอบสัญญาเช่าหมาย จ.4 ให้โจทก์ไว้ด้วย

ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อสัญญาเช่าระหว่างจำเลยกับนายสุรอมัตซิงห์ถูกยกเลิกเพิกถอนไปแล้วตามเอกสารหมาย ล.2 ตั้งแต่ก่อนโจทก์ซื้อที่ดินและตึกพิพาทจากนายกุรดิษฐ์ จำเลยย่อมไม่อยู่ในฐานะเป็นผู้เช่าตึกพิพาทนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา โจทก์จึงฟ้องขับไล่จำเลยโดยไม่ฟ้องนายเจริญผู้เช่าไม่ได้ และจะเรียกค่าเช่าจากจำเลยตลอดระยะเวลานั้น กับค่าเสียหายที่จำเลยไม่ยอมออกจากที่เช่าก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน ที่โจทก์ฎีกาว่าศาลไม่ควรรับฟังเอกสารหมาย ล.2 เพราะจำเลยมิได้ส่งสำเนาให้โจทก์ก่อนวันสืบพยานนัดแรกไม่น้อยกว่า 3 วัน และนำต้นฉบับมาแสดงต่อศาลในวันนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90, 125นั้น เห็นว่า เอกสารหมาย ล.2 นี้เป็นเอกสารที่ยกเลิกเพิกถอนสัญญาเช่าระหว่างจำเลยกับนายสุรอมัตซิงห์ เป็นพยานหลักฐานอันสำคัญเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี ทั้งการรับฟังก็ไม่ทำให้โจทก์เสียเปรียบแต่ประการใด เพราะเอกสารหมาย ล.2 นี้ จำเลยได้อ้างก่อนสืบพยานโจทก์และส่งสำเนาให้แก่โจทก์ก่อนวันสืบพยานจำเลย โจทก์ยังมีโอกาสที่จะขออนุญาตต่อศาลสืบหักล้างได้อยู่ และเมื่อได้พิเคราะห์ตามเอกสารหมาย ล.2 มีการขีดฆ่าสัญญาเช่า เขียนคำว่า “ยกเลิก” ลงลายมือชื่อฝ่ายนายสุรอมัตซิงห์ผู้ให้เช่าไว้โดยชัดแจ้ง เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจึงรับฟังความจริงตามเอกสารหมาย ล.2 นี้ได้ แม้จะเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 ทั้งนี้ ตามมาตรา 87(2)ทั้งกรณีไม่ต้องด้วย มาตรา 125

พิพากษายืน

Share