คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1066/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยที่ 1 เพื่อนำออกขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์ตามคำพิพากษา บริษัทผู้ร้องโดย พ. กรรมการผู้จัดการร้องขัดทรัพย์ ก่อนชี้สองสถาน โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งให้ผู้ร้องวางเงินเพื่อเป็นประกันการชำระค่าสินไหมทดแทน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288(1) เมื่อปรากฏว่า พ. ซึ่งยื่นคำร้องแทนบริษัทผู้ร้องเป็นจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ โดยเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดตามคำพิพากษากับจำเลยที่ 1 อยู่แล้ว ที่ดินที่นำยึดก็มีชื่อในโฉนดเป็นของจำเลยที่ 1 ผู้ร้องเป็นแต่อ้างว่าให้จำเลยที่ 1 ลงชื่อแทนไว้ พยานหลักฐานเบื้องต้นจึงพอแสดงว่า คำร้องขัดทรัพย์ไม่มีมูลและยื่นเข้ามาเพื่อประวิงให้ชักช้า ศาลย่อมสั่งให้ผู้ร้องวางเงินต่อศาลได้ และการวางเงินเช่นนี้เป็นเพียงเพื่อประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายที่โจทก์อาจได้รับเท่านั้น ไม่จำเป็นที่โจทก์จะต้องได้รับความเสียหายจริง ๆ

ย่อยาว

คดีนี้ เนื่องมาจากโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินมีโฉนด ๒ แปลง โดยยึดเฉพาะส่วนของจำเลยที่ ๑ เพื่อนำออกขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องโดยนายพวงแช แซ่ก๊วย ผู้ค้ำประกันหนี้ที่จำเลยที่ ๑ กู้จากโจทก์ ร้องขัดทรัพย์ว่า ที่ดินที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้อง ไม่ใช่ของจำเลยที่ ๑ ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์ให้การว่า บริษัทผู้ร้องไม่มีอำนาจร้องขัดทรัพย์ ฯลฯ
ก่อนชี้สองสถาน โจทก์ยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องขัดทรัพย์เข้ามา โดยไม่มีมูลและเพื่อประวิงให้ชักช้า ขอให้มีคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๘๘(๑)
ศาลชั้นต้นเห็นว่ามีหลักฐานเบื้องต้นแสดงว่าบริษัทผู้ร้องยื่นคำร้องขัดทรัพย์เพื่อประวิงให้ชักช้า ให้ผู้ร้องขัดทรัพย์วางเงินเพื่อเป็นประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ ๕๐,๐๐๐ บาท ให้นำมาวางศาลภายใน ๗ วัน นับแต่วันสั่ง ถ้าไม่วางเงินภายในกำหนด ให้ถือว่าผู้ร้องทิ้งคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อศาลเห็นว่ามีพยานหลักฐานเบื้องต้นแสดงว่าคำร้องนั้นไม่มีมูลและยื่นเข้ามาเพื่อประวิงให้ชักช้า ศาลก็มีอำนาจสั่งให้ผู้ร้องวางเงินดังกล่าวต่อศาลได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๘๘(๑) ไม่ใช่เรื่องเกินคำขอของโจทก์ ส่วนที่ผู้ร้องฎีกาว่า คำร้องของผู้ร้องมีมูล ไม่ได้ยื่นเข้ามาเพื่อประวิงคดี ก็เห็นว่านายพวงแช แซ่ก๊วย ซึ่งยื่นคำร้องแทนบริษัทผู้ร้อง เป็นจำเลยที่ ๒ ในคดีนี้นายพวงแชต้องร่วมรับผิดตามคำพิพากษากับจำเลยที่ ๑ อยู่แล้ว ที่ดินที่โจทก์นำยึดก็มีชื่อในโฉนดเป็นของจำเลยที่ ๑ ผู้ร้องเป็นแต่อ้างว่าให้จำเลยที่ ๑ ลงชื่อแทนไว้ พยานหลักฐานเบื้องต้นดังกล่าวพอแสดงว่าคำร้องขัดทรัพย์ไม่มีมูล และยื่นเข้ามาเพื่อประวิงให้ชักช้า ที่ผู้ร้องว่าโจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย ศาลฎีกาเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๘๘(๑) นั้น การวางเงินเป็นเพียงเพื่อเป็นประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายที่โจทก์อาจได้รับเท่านั้น ไม่จำเป็นที่โจทก์จะต้องได้รับความเสียหายจริง ๆ ศาลฎีกาเห็นสมควรให้ลดจำนวนเงินที่วางเป็นประกันลง ให้เหลือเพียง ๒๕,๐๐๐ บาท
พิพากษาแก้ เป็นว่า ถ้าผู้ร้องประสงค์จะดำเนินคดีชั้นร้องขัดทรัพย์ต่อไป ก็ให้นำเงิน ๒๕,๐๐๐ บาทมาวางต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนด ๗ วัน นับแต่วันฟังคำพิพากษานี้

Share