คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2312/2523

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยซึ่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดว่าได้กระทำเอกสารและรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้นมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จในเรื่องที่โจทก์ได้รับสัมปทานจากกระทรวงมหาดไทยให้เข้าไปทำการเกษตรและอุตสาหกรรมในท้องที่แห่งหนึ่งเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ยกฟ้องโจทก์โดยได้วินิจฉัยไว้โดยละเอียดว่าเจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่ตรวจพิสูจน์สิทธิและสอบสวนเกี่ยวกับที่ดินที่โจทก์ขอสัมปทานคือนายอำเภอท้องที่มิใช่จำเลยเรื่องราวที่นายอำเภอสอบสวนเสนอความเห็นต่อจำเลยและจำเลยเสนอต่อไปยังรัฐมนตรีถือไม่ได้ว่าเป็นความเท็จถือไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความเท็จและความเสียหายของโจทก์เกิดขึ้นในภายหลังซึ่งมิใช่การกระทำของจำเลยโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้นเป็นการวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายไม่มีอำนาจฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริงและเหตุผลที่ปรากฏในสำนวนฎีกาของโจทก์ที่ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความเท็จโจทก์มีอำนาจฟ้องจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้รับสัมปทานจากกระทรวงมหาดไทยให้เข้าไปทำการเกษตรและอุตสาหกรรมในท้องที่อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี จำเลยเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี มีหน้าที่พิจารณาเรื่องราวที่ราษฎรยื่นขอสัมปทานเพื่อกิจการใด ๆ ในที่ดินของรัฐแล้วเสนอความเห็นไปยังรัฐมนตรีเพื่อสั่งการต่อไป จำเลยได้ทำเอกสารรับรองเป็นหลักฐานว่าที่ดินที่โจทก์ขอสัมปทานอำเภอจอมบึง นายอำเภอได้ทำการตรวจสอบพิสูจน์สิทธิแล้วไม่มีผู้ใดคัดค้าน สมควรให้สัมปทานได้ เอกสารดังกล่าวเป็นความเท็จ เพราะที่ดินที่โจทก์ได้รับสัมปทานนั้นมีผู้ร้องคัดค้าน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยไม่ทราบความจริงจึงมีคำสั่งอนุมัติให้โจทก์เข้าเป็นคู่สัญญากับกระทรวงมหาดไทย และเสียค่าอนุญาตสัมปทานบัตรกับได้ลงดำเนินการอีกหลายล้านบาท แต่ก็ไม่อาจเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินสัมปทานได้เพราะถูกราษฎรที่บุกรุกที่ดินขัดขวาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 162

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายการกระทำของจำเลยยังไม่มีมูลเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 162 พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะเรื่องอำนาจฟ้อง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้โดยละเอียดว่า เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ตรวจสอบพิสูจน์สิทธิและสอบสวนเกี่ยวกับที่ดินที่โจทก์ขอสัมปทานคือนายอำเภอจอมบึงซึ่งเป็นนายอำเภอท้องที่ หาใช่จำเลยในฐานะผู้ว่าราชการจังหวัดไม่ เมื่อได้รับรายงานจากนายอำเภอท้องที่แล้ว จำเลยจึงมีหน้าที่เสนอความเห็นยังรัฐมนตรีเพื่อสั่งการต่อไป จำเลยไม่มีหน้าที่รับรองหลักฐานข้อเท็จจริงนั้นแต่อย่างใด ข้อเท็จจริงตามรายงานเป็นเรื่องอยู่ในหน้าที่และความรับผิดชอบของนายอำเภอท้องที่ หาเกี่ยวข้องกับจำเลยไม่ ทั้งข้อเท็จจริงได้ความว่า หลังจากโจทก์ยื่นเรื่องราวขอสัมปทานแล้ว มีราษฎรหลายรายยื่นคำร้องคัดค้านการขอสัมปทานของโจทก์ต่อนายอำเภอจอมบึงอ้างว่าผู้ร้องคัดค้านได้ทำกินอยู่ในที่ดินนานแล้ว แต่โจทก์กับผู้ร้องคัดค้านก็สามารถตกลงกันได้ แสดงว่าโจทก์ทราบดีอยู่แล้วว่ามีราษฎรคัดค้านการขอสัมปทาน ฉะนั้น การที่นายอำเภอจอมบึงสอบสวนพิจารณาเรื่องราวเสนอความเห็นไปยังจำเลยจึงถือไม่ได้ว่าเป็นความเท็จ ดังนี้ ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยถึงเหตุการณ์ว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้อง โดยอาศัยข้อเท็จจริงและเหตุผลที่ปรากฏในสำนวนด้วยกันทั้งสิ้น ฎีกาโจทก์ที่ให้ศาลฎีกาวินิจฉัยการกระทำของจำเลยว่าเป็นความเท็จ โจทก์มีอำนาจฟ้องจึงหาใช่เป็นปัญหาข้อกฎหมายไม่แต่เป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ศาลชั้นต้นรับฎีกาข้อนี้ไว้จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

พิพากษาให้ยกฎีกาโจทก์

Share