คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 398/2485

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยให้การรับสารภาพโดยหลงผิดในข้อกฎหมายที่กล่าวหา ลงโทษจำเลยไม่ได้. เมื่อการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด แม้จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ก็ไม่เป็นเหตุที่จะให้ลงโทษจำเลย. การต่อเติมดัดแปลงอาคารที่มีอยู่แล้วในลักษณะที่ไม่เป็นการเพิ่มน้ำหนักให้แก่อาคารนั้นมาก เป็นสิ่งที่ทำได้โดยไม่ต้องขอรับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยปลูกสร้างอาคารในเขตต์เทศบาลนครกรุงเทพฯ โดยทำบันไดขึ้นใหม่และกั้นฝาห้อง เป็นการต่อเติมดัดแปลงมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ.๒๔๗๙ มาตรา ๗,๘,๑๑ จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง โจทก์ไม่สืบพยาน ศาลชั้นต้นฟังว่าการที่จำเลยนั้นมาก ตามพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคารฯ มาตรา ๗(๒) อย่างไร จึงตัดสินยกฟ้อง.
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน.
โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าตามาตรา ๗ (ข้อ ๒) พระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคารฯ เมื่อปรับกับข้อเท็จจริงในคดีนี้ เห็นว่า ไม่มีข้อความถูกต้องกับที่กฏหมายบัญญัติไว้ด้วยมีข้อความว่าต้องเป็นการ”ต่อเติมหรือดัดแปลงอาคารที่มีอยู่แล้วในลักษณะอันเป็นการเพิ่มน้ำหนักให้แก่อาคารนั้นมาก ฯลฯ” ซึ่งหมายความว่า ถ้าการต่อเติมหรือดัดแปลงอาคารที่มีอยู่แล้วในลักษณะที่ไม่เป็นการเพิ่มน้ำหนักให้แก่อาคารนั้นมาก ฯลฯ ก็เป็นสิ่งที่ทำได้โดยไม่ต้องขอรับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน
ในคดีนี้ไม่เห็นมีเหตุอันใดที่จะให้ศาลสันนิษฐานได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการเพิ่มน้ำหนักให้แก่อาคารนั้นมาก ด้วยเป็นข้อเท็จจริงที่จะต้องพิจารณาเป็นเรื่องๆไปให้เหมาะสมแก่ความประสงค์ของการควบคุมการก่อสร้างอาคาร เมื่อการกระทำของจำเลยไม่เป็นการเพิ่มน้ำหนักให้แก่อาคารนั้นมาก จำเลยก็หาความผิดมิได้ และไม่ควรจะถูกฟ้องเพราะจำเลยมิได้ทำการปลูกสร้างอาคารตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๗ แห่งพรบราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคารฯ แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพตามฟ้องก็ลงโทษจำเลยไม่ได้ เพราะจำเลยสารภาพโดยผิดหลงในข้อกฎหมายที่โจทก์กล่าวหา ทั้งความจริงก็ปรากฏตามสำนวนว่าจำเลยไม่มีความผิดไม่มีเหตุใดที่จะลงโทษจำเลยได้ จึงพิพากษายืนตามศาลล่างทั้งสอง.

Share