คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 231/2501

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาขายรถยนต์ปอนเตี๊ยกจึงเรียกเงินมัดจำคืน จำเลยต่อสู้ว่ากู้เงินโจทก์ 15,000 บาท เอารถฮิลแมนประกันแล้วกู้อีก 10 ,000 บาทเอารถปอนเตี๊ยกประกัน ต่อมาจำเลยชำระคืน 15,000 บาท โจทก์คืนรถปอนเตี๊ยกให้ แล้วโจทก์ยึดรถฮิลแมนของจำเลยโอนเป็นของโจทก์ โจทก์ยังจะต้องคืนเงินให้จำเลยอีก 5,000 บาท ข้อต่สู้ของจำเลยมิได้กล่าวอ้างตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.แพ่ง มาตรา 94 วรรคท้าย ดังนี้ จำเลยจะนำสืบเปลี่ยนแปลงเอกสารสัญญาซื้อขายท้ายฟ้องของโจทก์ไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำสัญญาขายรถยนต์นั่งยี่ห้อปอนเตี๊ยกแก่โจทก์ ๑๕,๐๐๐ บาท โจทก์วางมัดจำไว้ ๑๐,๐๐๐ บาท จำเลยสัญญาจะโอนรถให้ภายใน ๗ วัน ถึงกำหนดจำเลยไม่สามารถโอนรถให้โจทก์ๆจึงขอเลิกสัญญาและขอให้บังคับจำเลยคืนเงินมัดจำ
จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ ๑๕,๐๐๐ บาท มอบรถฮิลแมนเป็นประกัน ต่อมากู้อีก ๑๐,๐๐๐ บาทมอบรถปอนเตี๊ยกเป็นประกัน แล้วจำเลยชำระคืน ๑๕,๐๐๐ บาท โจทก์คืนรถปอนเตี๊ยกให้จำเลย ต่อมาจำเลยยึดรถฮิลแมนโอนเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์เพื่อใช้หนี้จำเลยยังค้างอยู่ ๑๐,๐๐๐ บาท ความจริง โจทก์จะต้องคืนเงินให้จำเลยอีก ๕,๐๐๐ บาท
วันชี้สองสถานจำเลยรับว่าได้ทำสัญญาตามสำเนาท้ายฟ้องจริง แต่เป็นเรื่องจำเลยกู้เงินโจทก์เอารถยนต์ประกัน และจำเลยได้ชำระเงินกู้ให้โจทก์แล้ว โดยมีใบรับเิงนแต่โจทก์ยังไม่ได้คืนสัญญาท้ายฟ้องให้จำเลย
ศาลชั้นต้นฟังว่าสัญญาซื้อขายเป็นนิติกรรมอำพราง พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยคืนเงินมัดจำ ๑๐,๐๐๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี ฯลฯ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าตามสำเนาเอกสารท้ายฟ้องที่จำเลยรับมีข้อความชัดว่า จำเลยได้ทำสัญญาขายรถยนต์ปอนเตี๊ยก และจำเลยรับมัดจำไว้แล้ว ๑๐,๐๐๐ บาท ทั้งจำเลยมิได้ให้การต่อสู้คดีความใน ป.วิ.แพ่ง มาตรา ๙๔ วรรคท้าย จำเลยจะนำสืบไม่ได้ พิพากษายืน

Share