แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ตาม หนังสือสัญญากู้เงินเครดิตเงินสด ข้อ 8 วรรคสอง คู่สัญญาตกลง กันว่า “ผู้กู้ยินยอมให้ธนาคารหักบัญชีเงินฝากของผู้กู้เพื่อชำระดอกเบี้ย หรือต้นเงินกู้ซึ่ง ถึง กำหนดชำระหรือถูก เรียกคืนตามสัญญา ข้อ 25 โดย ไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าแต่ อย่างใด” เห็นได้ ว่าเมื่อต้นเงินกู้หรือดอกเบี้ย ถึง กำหนดชำระนั้นเงินในบัญชีเงินฝากของจำเลยผู้กู้จะต้อง มีอยู่ ธนาคารโจทก์จึงจะหักเงินในบัญชีนั้นชำระหนี้เงินกู้หรือดอกเบี้ย ค้าง ชำระได้ แต่ ถ้า เงินในบัญชีไม่มีหรือมีแต่ ได้ หักชำระหนี้ต้นเงินกู้หรือดอกเบี้ย ที่ถึงกำหนดชำระหมดแล้ว การหักเงินชำระหนี้ตาม สัญญาข้อ 8 วรรคสองในภายหลังอีกย่อมไม่อาจกระทำได้ เพราะไม่มีเงินในบัญชีที่จะให้หัก โจทก์หักเงินในบัญชีทั้งหมดชำระหนี้ที่จำเลยค้างชำระแล้วจึงนำหนี้ที่คงเหลือมาฟ้องขอให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย การที่จำเลย ส่งเงินเข้าบัญชีเงินฝากภายหลังที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลายแล้วโดย จำเลยไม่มีเงินพอที่จะชำระหนี้ให้ผู้ร้องและโจทก์นำเงินในบัญชีนั้นไปหักชำระหนี้โจทก์อีก ก็เป็นการที่จำเลย นำเงินนั้นไปชำระหนี้ให้โจทก์โดยตรง จึงทำให้โจทก์ได้เปรียบเจ้าหนี้อื่น ดังนี้ ชอบที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะมีคำขอให้ เพิกถอน การกระทำเช่นนั้นได้ การที่จำเลยนำเงินไปเข้าบัญชีเพื่อชำระหนี้โจทก์หลังจากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดแล้ว เป็นการฝ่าฝืนต่อ มาตรา 2224แห่ง พ.ร.บ. ล้มละลายฯ นั้นกรณีตกเป็นโมฆะไม่มี ผลบังคับ ดังนี้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจขอให้ศาลเพิกถอน การชำระหนี้นั้นได้ การที่โจทก์ต้อง คืน เงินแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพราะ การชำระหนี้ได้ ถูก เพิกถอนนั้นเป็นไปโดย ผลของคำพิพากษา กรณี ยังถือ ไม่ ได้ว่าได้ มีการผิดนัดอันจะเป็นเหตุให้โจทก์ต้อง รับผิดเรื่องดอกเบี้ย เพราะตราบใด ที่การชำระหนี้ระหว่างจำเลยกับโจทก์ยังไม่มีคำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลให้เพิกถอน ก็ยังถือ ว่าเป็นการ ชำระหนี้โดย ชอบอยู่ โจทก์จึงไม่ต้องรับผิดเรื่องดอกเบี้ย.
ย่อยาว
กรณีสืบเนื่องมาจากโจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลายเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2522 ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2523 และพิพากษาให้ล้มละลายเมื่อวันที่ 8 เมษายน2524 ต่อมาวันที่ 6 สิงหาคม 2524 ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่า จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์2523 เป็นเงิน 101,800 บาท วันที่ 6 มีนาคม 2523 เป็นเงิน67,000 บาท และเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2523 อีกเป็นเงิน 5,278.33บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 174,078.33 บาท อันเป็นการชำระหนี้ภายหลังที่มีการขอให้ล้มละลายซึ่งทำให้โจทก์ได้เปรียบเจ้าหนี้รายอื่นขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดำเนินการเพิกถอนการชำระหนี้ดังกล่าว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไต่สวนแล้วเห็นว่า ตามข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยตามหนังสือสัญญากู้เงินเครดิตเงินสด ข้อ 8วรรคสอง จำเลยยอมให้โจทก์หักบัญชีเงินฝากของจำเลยเพื่อชำระดอกเบี้ยหรือต้นเงินกู้ซึ่งถึงกำหนดชำระ หรือถูกเรียกคืนตามสัญญาข้อ 25 ได้โดยมิต้องบอกกล่าวล่วงหน้า ดังนั้น การที่โจทก์ใช้สิทธิโอนเงินฝากออมทรัพย์ของจำเลยไปชำระหนี้ที่ค้างชำระดังกล่าวจึงเป็นผลที่เกิดจากข้อตกลงซึ่งโจทก์จำเลยทำขึ้นเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม2517 ก่อนที่มีการขอให้จำเลยล้มละลาย นอกจากนี้โจทก์ยังมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยในมูลหนี้เงินกู้ และเป็นลูกหนี้จำเลยในมูลหนี้เงินฝากออมทรัพย์ แม้จะไม่มีข้อตกลงดังกล่าวโจทก์ก็ย่อมมีสิทธิหักกลบลบหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 102 ได้จึงมีคำสั่งไม่เพิกถอนการชำระหนี้ดังกล่าว
ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ต่อศาลชั้นต้นว่า การที่จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์ดังกล่าวแล้วก็โดยมุ่งหมายให้ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายอื่นเสียเปรียบ แม้จะมีข้อสัญญาข้างต้นโจทก์ก็ไม่มีสิทธิที่จะนำเงินที่กล่าวมาแล้วไปหักกลบลบหนี้กัน เพราะมิใช่เป็นการชำระหนี้ให้โจทก์ก่อน 3 เดือนก่อนขอให้จำเลยล้มละลาย โจทก์จึงต้องชำระเงินนั้นคืนให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพื่อจะได้นำเงินเข้าไปรวมในกองทรัพย์สินของจำเลยจึงขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการชำระหนี้นั้น โดยให้โจทก์ชำระเงิน 174,078.33 บาท ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่โจทก์ได้รับหรือถือว่าได้รับเงินดังกล่าวจากจำเลยจนกว่าโจทก์จะชำระเงินนั้นให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยครบถ้วนและถูกต้อง
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์คัดค้านว่า การที่โจทก์ใช้สิทธิโอนเงินฝากจากบัญชีออมทรัพย์ของจำเลยไปชำระหนี้ที่ค้างชำระดังกล่าวแล้วเป็นผลจากข้อตกลงระหว่างจำเลยกับโจทก์ตามหนังสือสัญญากู้เงินเครดิตเงินสด ลงวันที่ 8 กรกฎาคม 2517 ก่อนขอให้จำเลยล้มละลายถึง 6 ปีเศษ และแม้ไม่มีข้อตกลงนั้นโจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ในมูลหนี้เงินกู้ และลูกหนี้ในมูลหนี้เงินฝากออมทรัพย์ก็มีสิทธิหักกลบลบหนี้ได้ตามมาตรา 102 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 นอกจากนี้ผู้ร้องไม่มีอำนาจคัดค้านคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เพราะการเพิกถอนการโอนตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 การสอบสวนเบื้องต้นเป็นอำนาจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์โดยเฉพาะ ตามมาตรา 115 ขอให้ยกคำร้อง
ส่วนโจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า เมื่อโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยแล้วจำเลยร้องเรียนต่อสำนักนายกรัฐมนตรีว่าจำเลยเดือดร้อนขอให้โจทก์หาทางผ่อนผัน โจทก์จึงให้จำเลยไปแนะนำสมาชิกของจำเลยที่เป็นหนี้จำเลยมากู้เงินโจทก์ แล้วนำเงินที่กู้มาชำระหนี้แทนจำเลย การชำระหนี้ 168,800 บาท จึงเป็นการนำเงินของโจทก์มาชำระหนี้โจทก์เพื่อผ่อนคลายการดำเนินคดี อย่างไรก็ตามโจทก์มีสิทธิหักเงินในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่จำเลยมีอยู่กับโจทก์ตามสัญญาที่ทำขึ้นเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2517 อันเป็นการใช้สิทธิระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ที่มีอยู่ก่อนฟ้องคดีด้วย ส่วนเงิน 5,278.33 บาท โจทก์ใช้สิทธิหักกลบลบหนี้ตามมาตรา 102 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 ซึ่งเป็นเงินฝากที่จำเลยมีอยู่กับโจทก์ และใช้สิทธิหักชำระหนี้ที่มีอยู่ก่อนศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ซึ่งสิทธินั้นมีอยู่ก่อนฟ้องให้จำเลยล้มละลาย อนึ่งในการประชุมเจ้าหนี้เพื่อตรวจคำขอรับชำระหนี้ โจทก์ก็ได้ชี้แจงการชำระหนี้ดังกล่าวแล้ว จนศาลมีคำสั่งให้โจทก์รับชำระหนี้เต็มจำนวนที่โจทก์ขอรับชำระซึ่งได้หักเงินที่ได้รับชำระหนี้ดังกล่าวออกแล้ว หากผู้ร้องจะขอให้เพิกถอนก็ควรจะอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งของศาลในชั้นนั้นการใช้สิทธิของผู้ร้องจึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริตนอกจากนี้การจะขอให้เพิกถอนการโอนจะต้องกระทำภายใน 1 ปี ตามมาตรา 240 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เรื่องนี้ผู้ร้องทราบเหตุเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2524 แต่มาร้องขอเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2528คดีผู้ร้องขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 8กรกฎาคม 2517 จำเลยกู้เงินจากโจทก์ในวงเงิน 1 ล้านบาท ปรากฏตามหนังสือสัญญากู้เงินเครดิตเงินสดเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3การกู้เงินดังกล่าวธนาคารโจทก์จะเปิดบัญชีเครดิตเงินสดในนามจำเลยไว้จำเลยจะเบิกเงินกู้จากโจทก์เป็นคราว ๆ ไปภายในวงเงินที่กล่าวแล้ว โดยทำเป็นรายงานเบิกเงินกู้เสนอถึงโจทก์ ซึ่งโจทก์จะวินิจฉัยรายงานเบิกเงินกู้ของจำเลยอีกชั้นหนึ่งตามที่เห็นสมควร และเมื่ออนุมัติแล้วจะส่งเงินจำนวนนั้นเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของจำเลยขณะเดียวกันก็จะลงบัญชีเครดิตเงินสดให้จำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์จำเลยตกลงด้วยว่าจะส่งเงินของจำเลยส่วนที่ยังไม่ต้องการใช้ทันทีเข้าฝากไว้ในบัญชีออมทรัพย์ที่กล่าวแล้วและยินยอมให้โจทก์หักบัญชีเงินฝากของจำเลยเพื่อชำระหนี้เงินกู้เมื่อถึงกำหนดชำระโดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าแต่ประการใด เพียงวันที่ 17 มีนาคม 2518จำเลยกู้เงินโจทก์ไปทั้งสิ้น 978,000 บาท ภายหลังที่โจทก์หักเงินต้นที่จำเลยนำมาชำระหนี้ 188,750.16 บาท ดอกเบี้ย 187,249.84บาท กับได้โอนเงินฝากแทนการถือหุ้นทั้งต้นและดอกเบี้ยของจำเลยหักชำระดอกเบี้ย 60,500 บาท แก่โจทก์ ตามที่ตกลงไว้ในสัญญากู้เงินเครดิตเงินสดแล้ว จำเลยคงเป็นหนี้ต้นเงิน 789,249.84บาท ดอกเบี้ย 101,753.51 บาท รวมเงินที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์ทั้งสิ้น891,003.35 บาท โจทก์จึงนำคดีมาฟ้องให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลายหลังจากโจทก์นำคดีมาฟ้องแล้วโจทก์ตกลงให้สมาชิกของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้จำเลยกู้เงินไปจากโจทก์เพื่อชำระหนี้ให้จำเลยแล้วจำเลยนำเงินนั้นไปชำระหนี้ให้โจทก์เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2523เป็นเงิน 101,800 บาท วันที่ 6 มีนาคม 2523 เป็นเงิน 67,000 บาทวันที่ 9 กันยายน 2523 ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดและวันที่ 11 กันยายน 2523 จำเลยนำเงินที่สมาชิกซึ่งเป็นลูกหนี้ของจำเลยกู้เงินมาจากโจทก์ไปชำระหนี้ให้โจทก์อีก 5,278.33 บาทการชำระหนี้ดังกล่าวจำเลยนำเงินที่ได้รับชำระฝากเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่กล่าวข้างต้นเพื่อให้โจทก์โอนเงินจากบัญชีนั้นหักชำระหนี้ในบัญชีเครดิตเงินสดของจำเลย คดีมีปัญหาว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะขอให้เพิกถอนการชำระหนี้ดังกล่าวได้หรือไม่
พิเคราะห์หนังสือสัญญากู้เงินเครดิตเงินสดข้อ 8 วรรคสองตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 ที่คู่สัญญาตกลงกันว่า “ผู้กู้ยินยอมให้ธนาคารหักบัญชีเงินฝากของผู้กู้เพื่อชำระดอกเบี้ยหรือต้นเงินกู้ซึ่งถึงกำหนดชำระหรือถูกเรียกคืนตามสัญญาข้อ 25 โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าแต่อย่างใด” แล้ว เห็นได้ว่า เมื่อต้นเงินกู้หรือดอกเบี้ยถึงกำหนดชำระนั้นเงินในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของผู้กู้จะต้องมีอยู่ โจทก์จึงจะหักเงินในบัญชีนั้นชำระหนี้เงินกู้หรือดอกเบี้ยค้างชำระได้ ส่วนโจทก์จะหักเงินนั้นชำระหนี้เมื่อใดเป็นสิทธิของโจทก์ แต่ถ้าเงินในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ไม่มีหรือมีแต่ได้หักชำระหนี้ต้นเงินกู้หรือดอกเบี้ยที่ถึงกำหนดชำระหมดแล้ว การหักเงินชำระหนี้ตามสัญญาข้อ 8 วรรคสอง ที่กล่าวแล้วในภายหลังอีกย่อมไม่อาจกระทำได้เพราะไม่มีเงินในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่จะให้หักฉะนั้น การที่จำเลยผู้กู้ส่งเงินเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ภายหลังที่ธนาคารโจทก์หักเงินในบัญชีดังกล่าวชำระหนี้ที่จำเลยค้างชำระหมดสิ้นแล้ว หลังจากนั้นโจทก์จึงนำหนี้ที่คงเหลือมาฟ้องขอให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย การที่โจทก์นำเงินในบัญชีนั้นซึ่งจำเลยนำเข้าภายหลังที่โจทก์ฟ้องไปหักชำระหนี้โจทก์อีก ก็มีผลเป็นอย่างเดียวกับการที่จำเลยนำเงินนั้นไปชำระหนี้ให้โจทก์โดยตรงคดีนี้ ตามฟ้องจำเลยเป็นหนี้โจทก์ 891,003.35 บาท และเป็นหนี้ผู้ร้องตามคำขอรับชำระหนี้ที่ศาลอนุญาตให้ผู้ร้องรับชำระหนี้1,853,562.50 บาท ดังนั้น ที่จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์โดยวิธีการข้างต้นภายหลังที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลายแล้วเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2523 เป็นเงิน 101,800 บาท และวันที่ 6มีนาคม 2523 เป็นเงิน 67,000 บาท โดยที่จำเลยไม่มีเงินพอที่จะชำระหนี้ให้ผู้ร้อง การกระทำของจำเลยจึงทำให้โจทก์ได้เปรียบเจ้าหนี้อื่นชอบที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะมีคำขอให้เพิกถอนการกระทำเช่นนั้นได้ คำพิพากษาฎีกาที่ 2453/2527 ระหว่างเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของห้างหุ้นส่วนจำกัดโรงไสไม้เหรียญทองกับพวก ผู้ร้อง ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด ผู้คัดค้าน คำพิพากษาฎีกาที่ 1474/2528 ระหว่าง นายเจริญ ศรีสมบูรณานนท์ โจทก์เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ผู้ร้อง ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัดผู้คัดค้าน บริษัทธเนศพร จำกัด กับพวก จำเลย และคำพิพากษาฎีกาที่3/2529 ระหว่าง ห้างหุ้นส่วนจำกัดเกษสุรินทร์ชัย โจทก์ นายทวีชัยโสภณวัฒนพงศ์ จำเลย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ผู้ร้อง ธนาคารกรุงเทพ จำกัด ผู้คัดค้าน ที่โจทก์และผู้คัดค้านอ้างมาในคำแก้ฎีกานั้น ข้อเท็จจริงต่างกับคดีนี้ตรงที่เงินที่เจ้าหนี้หักใช้หนี้ตามสัญญาที่ลูกหนี้ให้ไว้ต่อเจ้าหนี้นั้นอยู่ในความครอบครองของเจ้าหนี้ตั้งแต่ขณะที่ลูกหนี้เจ้าหนี้มีสัญญาต่อกันจึงนำมาเทียบเคียงกับคดีนี้ไม่ได้ นอกจากนี้การที่จำเลยนำเงินไปเข้าบัญชีเพื่อชำระหนี้โจทก์อีกเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2523 เป็นเงิน5,278.33 บาท หลังจากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดเมื่อวันที่ 9 เดือนเดียวกันแล้ว ย่อมเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา22, 24 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 จึงตกเป็นโมฆะไม่มีผลบังคับ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจขอให้ศาลเพิกถอนการชำระหนี้นั้นได้ เมื่อการกระทำของจำเลยจะต้องถูกเพิกถอนดังเหตุผลที่วินิจฉัยมาแล้ว ก็ไม่มีเงินที่โจทก์รับฝากไว้ในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของจำเลยที่โจทก์จะนำมาหักกลบลบหนี้กับหนี้เงินกู้ตามหนังสือสัญญากู้เงินเครดิตเงินสดและตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 102 ดังที่โจทก์ตั้งประเด็นไว้ในคำแก้ฎีกาได้ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยโดยให้ยกคำร้องของผู้ร้อง ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น อย่างไรก็ตามการที่โจทก์ต้องคืนเงินแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพราะการชำระหนี้ได้ถูกเพิกถอนนั้นเป็นไปโดยผลของคำพิพากษา กรณียังถือไม่ได้ว่าได้มีการผิดนัดอันจะเป็นเหตุให้โจทก์ต้องรับผิดในเรื่องดอกเบี้ยเพราะตราบใดที่การชำระหนี้ระหว่างจำเลยกับโจทก์ยังไม่มีคำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลให้เพิกถอน ก็ยังถือว่าเป็นการชำระหนี้โดยชอบอยู่โจทก์จึงไม่ต้องรับผิดเรื่องดอกเบี้ย
พิพากษากลับ ให้เพิกถอนการหักบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของจำเลยเพื่อชำระหนี้เงินกู้ และให้โจทก์ชำระเงิน 174,078.33 บาทให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์…”.